กล้องวงจรปิดแสดงภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2538 เวลา ประมาณ 14.00 น. ขณะที่เด็กนักเรียนหญิง ด.ญ.ปวรรณา ภูคลองพลอย อายุ 13 ปี และ ด.ญ.เนตรนภา ส่งแก้ว 14 ปี ถูกรถปิคอัพเลี้ยวตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด โดยไม่เปิดไฟเลี้ยง จนรถจักรยานยนต์ล้มลงกระเด็นไปเสาป้ายชื่อซอย โดยมีพลเมืองดีวิ่งออกยกรถที่ทับขาน้องออกและนำส่งโรงพยาบาล
โดย ด.ญ.เนตรนภา เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนได้ขัขขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟสีดำ โดยมีเพื่อนคือ ด.ญ.ปวรรณา นั่งซ้อนท้ายจากตลาดบ้านดอน โดยขับขี่ไปตามถนนสายกสิกรทุ่งสร้าง พอมาถึงบริเวณหน้ากองพันทหารม้าที่ 6 ก็มีรถปิคอัพโตโยต้าสำดำแบบสี่ประตู หมายเลขทะเบียน กพ 3889 เลี้ยวตัดหน้าตนอย่างกระชันชิด จนเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันรถของตนกระเด็นไปติดปับเสาป้ายเข้าซอยแผ่นดินไทย ส่วนเพื่อนที่ซ้อนท้ายกระเด็นไปตกห่างจากตนประมาณ 3 เมตร พลเมืองดีได้ช่วยเหลือโดยยกรถที่ทับขาตนอยู่ออก แล้วนำส่งโรงพยาบาล โดยมี นางเยาวเรศ เนื่องดี แม่ของตนเดินทางไปแจ้งความที่ สภ.ย่อยศิลา อ.เมืองขอนแก่น
ซึ่งหลังเกิดเหตุตนทราบจากแม่ตนภายหลังว่าผู้ขับขี่รถปิคอัพคันที่ตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของตน ชื่อนางอุทัยวรรณ จุลรัตน์ แต่สิ่งที่แปลกใจคือแทนที่ตนจะเป็นผู้กล่าวแต่กลับตกเป็นผู้ต้องหา ในข้อหาขับขี่รถไม่สวมหมวกนิรภัย ขับรถโดยประมาท
ทางด้าน นางเยาวเรศ เนื่องลี แม่ของ ดญ.เนตรนภา ส่งแก้ว ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวด้วยน้ำตานองหน้า ว่าตนต้องการขอความเป็นธรรมในเรื่องนี้ให้กับลูกของตน เนื่องด้วยลูกสาวของตนบาดเจ็บ ต้องเสียเวลามาให้ปากคำกับตำรวจตั้งหลายครั้ง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุตำรวจนิ่งเฉยทำไม หรือต้องรอให้เด็กอายุถึง 14 และ 15 ปีก่อน แต่กลับมาเร่งทำคดีในปีนี้ ที่สำคัญทำไมไม่เรียกตัวนางอุทัยวรรณ จุลรัตน์ ผู้ขับขี่รถปิคอัพที่ขับตัดหน้าลูกสาวตนมาดำเนินคดี พอตนถามหาก็บอกว่าไม่สามารถจับตัวได้ เขาไม่อยู่ในพื้นที่ และบอกให้ตนไปหาหลักฐานมา ตนก็ไปตามหาจนได้ภาพจากกล้องวงจรปิดมาแล้ว แต่ตำรวจก็บอกว่าเปิดดูไม่ได้ไวรัสกิน ตนก็เอาไปให้ใหม่อีก ตำรวจก็บอกว่าไวรัสกินอีก แต่กลับมาฟ้องลูกสาวตนกลายเป็นผู้ต้องหาอีกในข้อหาไม่สวมหมวกนิรภัย และขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาท แต่คนร้ายตัวจริงกลับปล่อยหนีลอยนวล
ส่วนแม่ของดญ.ปวรรณา คนที่ซ้อนท้ายเล่าให้ฟังว่า หลังเกิดเหตุตนก็ได้เดินทางไปที่สภ.ย่อย ต.ศิลา เช่นกัน โดยตำรวจขอไกล่เกลี่ยบอกว่าจะเรี่ยไรเงินตำรวจที่อยู่ด้วยกันให้น้อง ทั้งคนคนละ 2000 บาท เพราะอยากช่วยเหลือน้อง และให้คดีจบ ๆ ไป ซึ่งตนไม่ยอมรับเงิน จึงทำให้มีเรื่องมีราวมาถึงปีนี้