อริขี่จยย.เจอกัน เปิดฉากยิงถล่มกันกลางซอย ชาวบ้านผวาหลบวิถีกระสุนกันวุ่น

6,300 ครั้ง

04 ส.ค. 2559

แชร์ข่าวไปที่

เวลา 17.00น. ตำรวจ สภ.คูคต จ.ปทุมธานี รับแจ้งมีเหตุยิงกัน หน้าหอแห่งหนึ่งใน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยมีรถประชาชนได้รับความเสียหาย หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุหน้าหอพัก พบนางนภารัตน์ พันธ์สมร อายุ 46 ปี พาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูรถยนต์สีขาว ทะเบียน กทม.ที่ถูกกระสุนปืนเจาะเข้าที่กระจกหลังด้านซ้ายจนแตก และรถแท็กซี่สีแดงที่ถูกยิงเข้าที่กันชนท้ายจนได้รับความเสียหาย

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางหอพักซึ่งสามารถจับภาพผู้ก่อเหตุไว้ได้ในเวลา17.00 น. มีวัยรุ่นขับขี่รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คัน คันละ 2 คน ขับขี่สวนทางกันก่อนที่ผู้ขับขี่จะจอดรถให้คนนั่งซ้อนท้ายลงชักอาวุธปืนยิงใส่กันประมาณ5นาที โดยไม่สนใจชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยจากภาพกล้องวงจรปิดจะเห็นได้ว่า ต่างยิงใส่กันโดยอีกฝ่ายใช้รถยนต์หลบเป็นกระบังกั้น ส่วนอีกฝ่ายยืนหลบยิงใส่อยู่หลังเสาไฟฟ้าของอีกฝั่งถนน ก่อนจะทั้งสองฝ่ายจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง และเห็นชาวบ้าน ประชาชน รวมถึงเด็กนักเรียน เด็กเล็ก ที่ขับรถสัญจรผ่านเข้าออก ต่างพากันขับหลบวิถีกระสุนกันอย่างหวาดผวา โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

นางนภารัตน์ พันธ์สมร ผู้พักอยู้หอพักใกล้ที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนเองนอนอยู่บนห้องพักได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดก่อนที่จะมีเพื่อนบ้านมาบอกว่ารถยนต์ถูกยิงจนได้รับความเสียหาย โดยถูกยิงเข้าที่กระจกหลังซ้ายกระสุนยังทะลุไปถูกเบาะคนนั่งจนกระจกแตกกระจาย

ชาวบ้านในละแวกที่เกิดเหตุ กล่าวเปิดเผยว่า ได้ยินเสียงดังคล้ายอาวุธปืน เมื่อออกมาดูพบว่าวัยรุ่นยิงใส่กันอยู่ที่หน้าบ้าน จึงพาลูกหลานหลบกระสุนปืนเข้าไปในบ้านสักพักใหญ่ เมื่อสิ้นเสียงปืนที่ยิงกันก็ไม่กล้าออกไปดู เมื่อเสียงเงียบไปและได้ยินเสียงเพื่อนบ้านหลาย ๆ หลัง ใกล้ที่เกิดเหตุคุยกันว่ามีรถยนต์ถูกยิงได้รับความเสียหาย จึงออกมาดูก็พบว่าวัยรุ่นต่างพากันหลบหนีไปแล้ว ซึ่งชาวบ้านต่างหวาดผวาและหวั่นกลัว เนื่องจากเกรงว่าจะโดนลูกหลง

ร.ต.ท.ภารดา ตันติรุ่งอรุณ รองสารวัตรสอบสวนสภ.คูคต เปิดเผยว่า คาดว่ากลุ่มวัยรุ่นทั้งสองกลุ่มเป็นคู่อริกันบังเอิญผ่านมาเจอกันระหว่างทาง จึงก่อเหตุขึ้น อย่างไรก็ตามได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุและตามเส้นทางที่คนร้ายขับผ่านเพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีทางกฏหมายต่อไป

แชร์ข่าวไปที่