"หอการค้า" มั่นใจเหตุระเบิดราชประสงค์ไม่กระทบการท่องเที่ยว
logo ข่าวอัพเดท

"หอการค้า" มั่นใจเหตุระเบิดราชประสงค์ไม่กระทบการท่องเที่ยว

3,634 ครั้ง
|
18 ส.ค. 2558
หอการค้ามั่นใจเหตุระเบิดราชประสงค์ไม่กระทบถึงการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้ พร้อมย้ำได้ประสานงานกับหอการค้าต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ขณะที่ประธานบอร์ดททท. ระบุว่าขอเวลาประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะตัดสินใจว่าจะต้องออกแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยหรือไม่
 
นายกลินท์ สารสิน รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ประธานบอร์ด ททท. กล่าวว่า ยอดจองเที่ยวบินเดินทางมายังประเทศไทยในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 47 ส่วนในเดือนตุลาคมนี้อยู่ที่ร้อยละ 70 โดยยังต้องรอประเมินสถานการณ์ว่าจะมีการยกเลิกหรือไม่ ซึ่งสมาคมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะหารือกันอย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องวิเคราะห์สถานการณ์และดูตลาดคู่แข่ง เพื่อจะปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากที่สุด ก่อนจะตัดสินใจว่าจะต้องออกแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยหรือไม่ แต่ล่าสุดยังคงกำหนดเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2558 นี้ไว้ที่ 28.6 ล้านคน เช่นเดิม อย่างไรก็ตามจากการหารือร่วมกับหอการค้าต่างประเทศที่มีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย ล่าสุดยังคงมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยจะสามารถดูแลสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีและเหตุการณ์จะไม่ยืดเยื้อ โดยหอการค้าต่างประเทศรับรู้และเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ พอ ๆ กับคนไทย เพราะอยู่ในประเทศไทยมานาน และค่อนข้างชื่นชมในความมีน้ำใจของคนไทยที่ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดีในยามสถานการณ์ฉุกเฉิน 
 
 
ด้านนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เหตุระเบิดที่ราชประสงค์มีผลกระทบทางจิตวิทยาในระยะสั้นเท่านั้น หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นซ้ำเติมมาอีกก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูการท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นปลายปีนี้ ส่วนการบริโภคหรือการจับจ่ายของคนไทยในช่วงที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคก็จับจ่ายเท่าที่จำเป็นอยู่แล้ว เชื่อว่าไม่น่าจะลดต่ำลงไปกว่านี้ โดยหอการค้าไทยจะยังไม่ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจ เนื่องจากมั่นใจว่าเหตุการณ์จะไม่บานปลาย โดยเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเติบโตได้ตามคาดการณ์ระหว่างร้อยละ 2.5 ถึง 2.9 อย่างไรก็ตามการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่นั้นรัฐบาลควรเน้นกระตุ้นการจับจ่ายในประเทศโดยเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยควรดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนค่าไปพร้อม ๆ กันกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ ขณะที่ผู้ส่งออกก็ต้องปรับตัวด้วย เพราะปีนี้ประเทศไทยเผชิญปัจจัยลบรุนแรงมากหลาย ๆปัจจัยพร้อมกัน ทำให้เอกชนไม่มั่นใจที่จะลงทุน จึงมีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยเร็วที่สุด