การสูญเสียคนที่รักไม่เพียงส่งผลกระทบต่อจิตใจ แต่ยังมีผลต่อสถานะทางการเงินของครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความนี้จะแนะนำวิธีจัดการด้านการเงินหลังการสูญเสีย เพื่อให้คุณสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ได้อย่างมั่นคง
การจัดการทรัพย์สินและมรดก
กรณีมีพินัยกรรม
เมื่อมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น สิ่งแรกที่ต้องตรวจสอบคือการมีอยู่ของพินัยกรรม หากผู้เสียชีวิตได้ทำพินัยกรรมไว้ จะต้องดำเนินการเปิดพินัยกรรมตามขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งจะระบุวิธีการจัดสรรทรัพย์สินและผู้ที่จะได้รับมรดก
กรณีไม่มีพินัยกรรม
หากไม่มีพินัยกรรม การจัดการทรัพย์สินจะเป็นไปตามกฎหมายมรดก โดยทายาทตามลำดับจะมีสิทธิ์รับมรดกตามส่วนที่กฎหมายกำหนด
ผู้จัดการมรดก
ในกรณีที่ไม่มีการระบุผู้จัดการมรดกในพินัยกรรม หรือไม่มีพินัยกรรม ทายาทสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้ ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่:
- รวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดของผู้เสียชีวิต
- ชำระหนี้สินที่ผู้เสียชีวิตมีอยู่
- จัดสรรทรัพย์สินที่เหลือให้แก่ทายาทตามกฎหมาย
การจัดการหนี้สิน
หนี้สินของผู้เสียชีวิตจะถูกชำระจากทรัพย์สินที่มีอยู่ในกองมรดก **สิ่งสำคัญที่ควรทราบ**: ทายาทไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบหนี้สินส่วนที่เกินกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับเป็นมรดก
การขอรับสิทธิประโยชน์ด้านการเงิน
ประกันชีวิต
หากผู้เสียชีวิตมีการทำประกันชีวิตไว้ ผู้รับผลประโยชน์ที่ถูกระบุในกรมธรรม์สามารถยื่นขอรับเงินประกันได้โดย:
- ยื่นคำร้องต่อบริษัทประกันภัย
- แนบเอกสารที่จำเป็น เช่น ใบมรณบัตร บัตรประชาชนของผู้รับผลประโยชน์ และกรมธรรม์
ในกรณีที่ไม่มีการระบุผู้รับผลประโยชน์ หรือผู้รับผลประโยชน์เสียชีวิตก่อนผู้เอาประกัน สิทธิในการรับเงินจะตกเป็นของทายาทโดยชอบธรรมตามกฎหมาย
เงินฝากธนาคารและทรัพย์สินทางการเงิน
ทายาทสามารถขอรับเงินฝากหรือทรัพย์สินทางการเงินอื่นๆ ได้โดย:
- ยื่นคำร้องต่อสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง
- แนบเอกสารจำเป็น เช่น ใบมรณบัตร หนังสือรับรองการเป็นทายาท หรือคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
สิทธิประโยชน์จากหน่วยงานรัฐ
ครอบครัวควรตรวจสอบสิทธิประโยชน์ที่อาจได้รับจาก:
- ประกันสังคม (เงินบำเหน็จชราภาพ หรือเงินสงเคราะห์ครอบครัว)
- กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- สวัสดิการอื่นๆ ที่ผู้เสียชีวิตมีสิทธิ์
การจัดการภาษี
ภายใต้กฎหมายไทย ทายาทอาจมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมรดกในกรณีที่:
- ได้รับทรัพย์สินมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท
- ต้องยื่นแบบเสียภาษีภายใน 150 วันนับจากวันที่ได้รับทรัพย์สิน
นอกจากนี้ ยังอาจมีภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ทายาทต้องรับผิดชอบหลังจากได้รับกรรมสิทธิ์
การวางแผนการเงินสำหรับอนาคต
1. ประเมินฐานะการเงิน
คำนวณความมั่งคั่งสุทธิของครอบครัว
สินทรัพย์ - หนี้สิน = ความมั่งคั่งสุทธิ
จดบันทึกรายรับรายจ่ายประจำวันเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย
รายรับ - เงินออม - รายจ่าย = เงินเหลือใช้/เงินขาดมือ
2. ตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน
- กำหนดเป้าหมายทางการเงินพร้อมกรอบเวลา
- จัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายให้สอดคล้องกับความสามารถทางการเงิน
3. จัดทำแผนการเงิน
วางแผนเกี่ยวกับ:
- การใช้จ่ายเงิน
- การหารายได้เพิ่มเติม
- แนวทางการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมาย
4. ดำเนินการตามแผนอย่างมีวินัย
ความมุ่งมั่นและวินัยเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน
5. ตรวจสอบและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอ
- ทบทวนแผนการเงินอย่างน้อยทุก 6 เดือน
- วิเคราะห์สาเหตุหากไม่เป็นไปตามแผน
- ปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
เคล็ดลับเพื่อความมั่นคงทางการเงิน
เตรียมรับมือกับความไม่แน่นอน
- มีเงินออมฉุกเฉิน 3-6 เท่าของรายจ่ายจำเป็นและภาระผ่อนหนี้ต่อเดือน
- ตรวจสอบความครอบคลุมของสวัสดิการและประกันสุขภาพที่มีอยู่
- พิจารณาทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมหากจำเป็น
- วางแผนรายได้ในอนาคตก่อนตัดสินใจก่อหนี้
- พิจารณาหาแหล่งรายได้เสริมหรือลงทุนเพื่อเพิ่มพูนรายได้
การบริหารหนี้อย่างชาญฉลาด
- เลือกก่อหนี้ที่มีประโยชน์ เช่น การกู้เพื่อซื้อบ้านหรือประกอบอาชีพ
- ประเมินความสามารถในการชำระคืนก่อนตัดสินใจก่อหนี้
- ภาระการชำระหนี้รวมทุกประเภทไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน
การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นประสบการณ์ที่ยากลำบาก แต่การจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณและครอบครัวสามารถรับมือกับความท้าทายและก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง การวางแผนและดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมจะช่วยลดความกังวลและสร้างความมั่นใจในอนาคตทางการเงินของครอบครัว
พบกับ "โคชหนุ่ม" และ "ทิน โชคกมลกิจ" ได้ใน "เงินทองของจริง" ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-8.40 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และช่องทางออนไลน์ TERO Digital