เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ทะลุหลัก 50,000 บาทเป็นที่เรียบร้อย สร้างความตื่นเต้นให้กับนักลงทุนทั่วประเทศ แต่หลายคนอาจสงสัยว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเราควรลงทุนในทองคำอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวเอง บทความนี้จะพาคุณไปหาคำตอบ
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ
เมื่อมีข่าวความไม่สงบระหว่างประเทศ หรือเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย สินทรัพย์ที่นักลงทุนมักนึกถึงเป็นอันดับแรกคือ "ทองคำ" เพราะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ช่วยรักษามูลค่าในยามวิกฤต ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาทองคำมี 4 ประการ ดังนี้
1. นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย
เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้ดี ราคาทองคำจะมีแนวโน้มปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจไม่ดี ความเชื่อมั่นในประเทศต่ำ นักลงทุนจะหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น
2. ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อ
น้ำมันเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงในตลาดโลก หากราคาน้ำมันแพง จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากทองคำถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อที่ดี
3. ค่าเงินดอลลาร์
เงินสกุลดอลลาร์เป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายทั่วโลก เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำจะสูงขึ้น เพราะนักลงทุนจะหันมาถือครองทองคำเพื่อรักษามูลค่าของเงินแทน
4. อุปสงค์และอุปทาน
ในช่วงที่มีความต้องการซื้อทองคำสูง เช่น ช่วงเทศกาลตรุษจีน ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกของตลาด
วิธีการลงทุนในทองคำ
การลงทุนทองคำในปัจจุบันมีช่องทางให้เลือกหลากหลาย ซึ่งแต่ละรูปแบบก็เหมาะกับนักลงทุนที่มีความต้องการและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบใหญ่ๆ ดังนี้
1. ซื้อทองคำแท่ง/ทองรูปพรรณ
วิธีที่ 1: ซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณกับร้านทอง
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่มีเงินทุนจำนวนมาก ต้องการถือครองทองคำที่จับต้องได้
- ข้อควรคำนึง: ต้องมีที่เก็บรักษาที่ปลอดภัย เพราะมีความเสี่ยงเรื่องการสูญหาย
- ทางเลือก:
- ทองคำแท่ง: เหมาะสำหรับการลงทุน สามารถขายคืนได้ราคาตามน้ำหนัก
- ทองรูปพรรณ: ต้องเสียค่ากำเหน็จ (ค่าทำรูปพรรณ) แต่สามารถใช้เป็นเครื่องประดับได้ ราคารับซื้อคืนจะต่ำกว่าทองคำแท่งเล็กน้อย
วิธีที่ 2: การทยอยออมทอง
- วิธีการ: ทยอยซื้อสะสมทองคำผ่านแอปพลิเคชันของร้านทอง
- จุดเด่น: ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง (ประมาณ 1,000 บาทต่อครั้ง)
- ความยืดหยุ่น: สามารถทยอยสะสมไปเรื่อยๆ จนครบจำนวนที่สามารถถอนเป็นทองคำได้ หรือจะขายผ่านแอปพลิเคชันเมื่อต้องการก็ได้
2. ซื้อกองทุนรวม
ประเภทที่ 1: กองทุนรวมทองคำ
- ลักษณะ: กองทุนไทยที่นำเงินไปลงทุนต่อในกองทุนหรือ ETF ต่างประเทศที่ลงทุนในทองคำแท่ง เช่น SPDR Gold Trust
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่มีเงินลงทุนไม่มาก ไม่ต้องการเก็บทองคำที่จับต้องได้
- ความเสี่ยง: อยู่ในระดับสูงมาก (ระดับ 8) และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ประเภทที่ 2: กองทุน ETF ทองคำ
- ลักษณะ: กองทุนรวมดัชนีที่อ้างอิงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในต่างประเทศ
- จุดเด่น: ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้ทุกวันในเวลาทำการ มีความคล่องตัวสูง
3. ซื้อหุ้นบริษัทที่ทำเหมืองทองคำ
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีเงินลงทุนค่อนข้างสูง และยอมรับความเสี่ยงได้สูง
- ข้อควรรู้: ต้องเปิดบัญชีลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และแลกเงินสกุลต่างประเทศไปลงทุน
- ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นและความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
4. ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (Gold Futures)
- เหมาะสำหรับ: ผู้ลงทุนที่เข้าใจการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures)
- จุดเด่น: ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีความคล่องตัวสูง
- โอกาส: มีโอกาสทำกำไรได้มาก แต่ก็มีโอกาสขาดทุนได้มากเช่นกัน
- กลยุทธ์: สามารถทำสัญญาซื้อล่วงหน้าเมื่อคาดว่าราคาจะเพิ่ม หรือทำสัญญาขายล่วงหน้าเมื่อคาดว่าราคาจะลดลง
การลงทุนในทองคำมีหลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรพิจารณาเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับเงินลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป้าหมายการลงทุนของตนเอง ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน การลงทุนในทองคำอาจเป็นทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าของเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พบกับ "โคชหนุ่ม" และ "กาย สวิตต์" ได้ใน "เงินทองของจริง" ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-8.40 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และช่องทางออนไลน์ TERO Digital