logo เงินทองของจริง

ถอดรหัส “นอมินี” (Nominee) ตัวแทนถือครองทรัพย์สินที่อาจผิดกฎหมาย | เงินทองของจริง

เงินทองของจริง : "นอมินี" (Nominee) คือ บุคคลหรือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนถือหุ้นหรือทรัพย์สินในนามของบุคคลอื่น โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย นอ ch7hd news,tero digital,ch7hdnews,terodigital,เงินทองของจริง,moneycoach,money coach,โคชหนุ่ม จักรพงษ์,โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์,โค้ชหนุ่ม,กาย สวิตต์,เศรษฐกิจ,การเงิน,การลงทุน,การออม,ออมเงิน,เก็บเงิน,สอนลงทุน,สอนออมเงิน,สอนเก็บเงิน

97 ครั้ง
|
17 มี.ค. 2568
"นอมินี" (Nominee) คือ บุคคลหรือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนถือหุ้นหรือทรัพย์สินในนามของบุคคลอื่น โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย นอมินีมักถูกใช้โดยให้คนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ เพื่อให้บริษัทสามารถทำธุรกิจในประเทศไทยได้ตามกฎหมาย 
 
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว นอมินีไม่มีอำนาจในการควบคุมหรือดำเนินธุรกิจ ซึ่งการกระทำเช่นนี้อาจมีโทษทางกฎหมายด้วย
 
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนอมินี
 
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กำหนดว่า ในธุรกิจบางประเภท ชาวต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% หากถือหุ้นมากกว่านี้จะต้องมีใบอนุญาตพิเศษจากรัฐบาล และหากพบว่ามีการใช้นอมินีมาเป็นตัวแทนถือหุ้น จะถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย
 
การใช้นอมินีที่ถูกต้องและผิดกฎหมาย
 
การใช้นอมินีมีทั้งกรณีที่ถูกมองว่าถูกต้องและผิดกฎหมาย:
 
กรณีที่ถูกต้อง:
- ใช้อำพรางไม่ให้คนทั่วไปรู้ว่าตัวเองมีทรัพย์สินมาก เพื่อการใช้ชีวิตอย่างสงบ
- ใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเงินสำหรับวางแผนภาษีอย่างถูกกฎหมาย
 
กรณีที่ผิดกฎหมาย:
- ใช้เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบจากภาครัฐ
- ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี
 
การพิจารณาว่าการใช้นอมินีผิดหรือถูก จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การนำไปใช้เป็นสำคัญ
 
รูปแบบของนอมินีที่พบบ่อยในประเทศไทย
 
ในประเทศไทย การใช้นอมินีในรูปแบบบุคคลธรรมดาเป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด เนื่องจากทำได้แนบเนียนและกฎหมายเอาผิดได้ยาก บุคคลที่มักถูกใช้เป็นนอมินีส่วนใหญ่จะเป็นคนใกล้ชิด ลูกจ้าง หรือญาติพี่น้อง (ยกเว้นภรรยาที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย)
 
6 รูปแบบสัญญาที่ใช้กับนอมินี
 
เพื่อเป็นหลักประกันและป้องกันความเสี่ยง มักมีการทำข้อตกลงหรือสัญญาผูกมัดคู่ขนานไว้ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของทรัพย์สินตัวจริง โดยสัญญาที่พบบ่อยมี 6 รูปแบบ:
 
1. สัญญากู้ยืม: เป็นสัญญาที่ทำขึ้นในรูปแบบการกู้ยืมเงิน (แต่ไม่ได้มีการกู้ยืมจริง) มักกำหนดวงเงินกู้ยืมสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สินมาก อาจมีการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินหรือสิทธิเหนือพื้นดินให้กับเจ้าของแท้จริง
2. สัญญาจำนอง: ให้ผู้ที่เป็นนอมินีทำสัญญาจำนำหรือจดทะเบียนจำนองกับเจ้าของตัวจริง เพื่อป้องกันการโกง เพราะเจ้าของทรัพย์แท้จริงสามารถฟ้องบังคับจำนองได้
3. สัญญาเช่าระยะยาว: ใช้กับนอมินีที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์แทนชาวต่างชาติ โดยทำสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี และจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน เพื่อสร้างภาระผูกพัน
4. ขายฝาก: เมื่อจดทะเบียนขายฝากแล้ว ทรัพย์สินจะโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของผู้ซื้อฝากทันที แต่มีเงื่อนไขว่าสามารถไถ่คืนได้ภายในระยะเวลา 10 ปี
5. ขายแล้วเช่ากลับคืน: นอกจากช่วยปิดบังผู้ถือกรรมสิทธิ์แท้จริงแล้ว ยังเป็นวิธีระดมเงินทุนจากอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองอยู่ได้
6. โอนอสังหาริมทรัพย์ไปถือครองในรูปบริษัท: วิธีนี้ช่วยซ่อนหรืออำพรางตัวผู้ถือครองที่แท้จริง และยังเป็นการวางแผนภาษีรูปแบบหนึ่ง
 
มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหานอมินีในประเทศไทย
 
ภาครัฐได้เริ่มดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานอมินี ดังนี้:
 
1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด: ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 36 ผู้ที่ช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. การพัฒนาระบบวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมของนิติบุคคล (IBAS): กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำลังพัฒนาระบบนี้เพื่อป้องกันและปราบปรามนอมินี และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรับเรื่องร้องเรียน: กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรับเรื่องร้องเรียนความผิดเกี่ยวกับนอมินี เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการรับเรื่องร้องเรียนและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. การแก้ไขกฎหมาย: สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังแก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับจดทะเบียนบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง และเพิ่มฐานความผิดนอมินีให้เป็นฐานความผิดตามกฎหมาย ปปง. เพื่อให้สามารถยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดได้
 
การใช้นอมินีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหานอมินี เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และเงินทุนในประเทศยังคงอยู่ในมือของคนไทยอย่างแท้จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง