ข่าวเย็นประเด็นร้อน - บริษัทต้นสังกัดออกแถลงการณ์สั่งพักงานหนุ่มขับรถเก๋งมาสด้าสีแดงแล้ว หลังโดนโซเชียลทัวร์ลงหนัก แฉวีรกรรมชอบบีบแตรรัวๆ ขับรถไล่ชนจักรยานยนต์มาแล้วหลายครั้ง
นี่เป็นคลิปต้นเรื่องที่เป็นประเด็น ซึ่งคนที่โพสต์ก็คือเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อมาสด้าสีแดง ที่ก่อเหตุ โพสต์คลิปจากกล้องหน้ารถ ขณะขับขี่ด้วยความเร็ว บีบแตรเตือน ก่อนเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ขับอยู่ในเลนขวา ซึ่งอยู่กำลังจะเบี่ยงเข้าเลนกลาง ส่งผลให้รถจักรยานยนต์ล้มลงและได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบริเวณใต้ทางต่างระดับตัดกับถนนราชพฤกษ์ บางศรีเมือง-วัดโบสถ์ดอนพรหม ตำบลบางกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เหตุเกิดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 08.22 น.
หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป มีคนในโลกออนไลน์เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก มองว่า การขับขี่ของรถเก๋งสีแดงนั้นอันตราย เป็นภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน แต่เจ้าของโพสต์เข้ามาตอบคอมเมนต์อย่างดุเดือด พร้อมระบุว่า “เคสนี้มอเตอร์ไซค์ผิด จบนะผู้เชี่ยวชาญ กรุณาหุบปาก เชิญชมรถทัวร์ขนควายครับ คือผมกับมอเตอร์ไซค์เคลียร์กันจบแล้ว แต่มีควายจำนวนมากเข้ามาสะเหล่อตัดสินแทน” หลังจากนั้นเจ้าของรถมาสด้าแดงยังตอบโต้คอมเมนต์อย่างดุเดือด
ทำให้เพจเฟซบุ๊กชื่อดังหลายเพจ ออกมาเปิดเผยคลิปวีรกรรมเหตุการณ์อื่น ๆ ของรถคันนี้ ซึ่งพฤติกรรมคล้ายกัน คือ การบีบแตรใส่รถจักรยานยนต์ และขับรถเฉี่ยวชนจักรยานยนต์คู่กรณีหลายครั้ง ซึ่งทุกคลิปจะนำมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเอง รวมแล้วมากกว่า 20 คลิป โดยจะโพสต์พร้อมระบุแคปชันด่าจักรยานยนต์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย
นอกจากนี้ยังพบว่ายังมีการโพสต์รูปอาวุธปืนที่คอนโซลหน้ารถอีกด้วย และยังมีชาวเน็ตไปขุดภาพป้ายทะเบียนรถเก๋งสีแดงคันนี้ จะเห็นว่าทะเบียนเลขหน้าและเลขหลังมีลักษณะซีดจาง จึงมีคนตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นการปิดบังไว้ไม่ให้เห็นทะเบียนได้อย่างชัดเจนหรือไม่
จนต่อมา วานนี้ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พา นายจินตระการ แก้ววังอ้อ อายุ 49 ปี ผู้เสียหาย เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.บางศรีเมือง เพื่อดำเนินคดีกับรถเก๋งมาสด้าแดงดังกล่าว เพราะผู้เสียหายคิดว่ารถเก๋งสีแดงคันดังกล่าวตั้งใจชน และไม่ได้ขอโทษ หลังเกิดเหตุตนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่มาทราบว่ามีวีรกรรมเกี่ยวกับการขับรถในโซเชียลจำนวนมาก จึงตัดสินใจนำเรื่องเข้าร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอด และตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดี เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุลักษณะนี้กับใครอีก
ความคืบหน้าคดีวันนี้ พันตำรวจเอกสมชาย แจ้งธรรมมา ผู้กำกับการ สภ.บางศรีเมือง เปิดเผยว่า ตอนนี้พนักงานสอบสวนเรียกพยานแวดล้อมมาสอบปากคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และทั้งคู่ได้เจรจากันหลังเกิดเหตุ ก่อนจะเข้ามาแจ้งความภายหลัง ขั้นตอนต่อไปจะต้องเรียกเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า สีแดง มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อถามหาสาเหตุและพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่หลังจากเกิดข่าวพนักงานสอบสวนติดต่อเจ้าของรถยากมากขึ้น เนื่องจากมีทางผู้สื่อข่าวโทรเข้าไปสอบถามกับเจ้าของรถค่อนข้างเยอะ ทำให้เจ้าตัวปิดโทรศัพท์ ทำให้ติดต่อยาก
แต่ล่าสุด คนขับรถติดต่อมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ยินดีที่จะเข้าพบตำรวจเพื่อให้ข้อมูลภายหลัง ซึ่งยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะเข้ามาในช่วงเวลาใด พร้อมกับยังไม่ได้บอกมูลเหตุจูงใจที่ก่อเหตุลักษณะนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้มีผู้เสียหายเพียงแค่ 1 รายที่มาแจ้งความที่ สภ.บางศรีเมือง ส่วนในกรณีโลกโซเชียลที่มีการแชร์คลิปพฤติกรรมของคนขับรถรายนี้จำนวนมากนั้น ไม่ได้เกิดในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ
ส่วนกรณีที่เจ้าของรถโพสต์รูปอาวุธปืนลงโซเชียลนั้น ขอตรวจสอบก่อนว่าเป็นอาวุธปืนจริงหรือไม่ โดยในช่วงเย็นวันนี้จะมีผู้เสียหายมาแจ้งความเอาผิดกับเจ้าของรถเพิ่มเติมที่ สภ.บางศรีเมือง ทั้งนี้ยืนยันว่าตำรวจดำเนินคดีตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ แม้ว่าจะมีกระแสโลกโซเชียลเปิดเผยฐานะของอีกฝ่ายว่าเป็นถึงระดับผู้บริหารก็ตาม
ขณะในโซเชียลวันนี้ ต่อมา นักสืบโซเชียลได้ตรวจสอบข้อมูลจนพบว่าผู้ขับขี่รถเก๋งมาสด้าแดง ชื่อ นายพีท เป็นชาย สวมแว่นตา ตั้งฉายาให้ว่า “ไอต้าวแว่น มาสด้าแดง” มีชาวเน็ตไปขุดสถานที่ทำงานของนายพีท พบว่า มีชื่อทำงานอยู่ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยางแห่งหนึ่ง ในเขตบางขุนเทียน บางคนก็ระบุพิกัดบ้านพัก เปิดวาร์ปเฟซบุ๊กของนายพีท จนมีชาวเน็ตไปถล่มในเฟซบุ๊กจำนวนมาก จนในที่สุดเจ้าของรถมาสด้าสีแดงได้ปิดเฟซบุ๊กและช่องทางติดต่อส่วนตัวทั้งหมด
ล่าสุดมีชาวเน็ต โพสต์ข้อมูลแฉอีกว่า “ได้ข่าวว่ามาสด้าแดงในตำนานตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ BMW X1 สีดำกรม แถวเทียนทะเล 20 ครับ” นอกจากนี้ ยังมีคนให้ข้อมูลว่า นายพีท ครอบครองรถทั้งหมด 3 คัน คือ รถยนต์มาสด้าสีแดง, BMW X1 สีดำ และรถยนต์สีขาว
และยังมีคนขุดข้อมูลด้วยว่าก่อนหน้านี้ผู้ก่อเหตุเคยถ่ายรูปคู่กับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมข้อความระบุ ได้รายงานท่านผู้ว่าฯ ถึงสาเหตุรากเหง้าของปัญหารถติดใน #กรุงเทพ สาเหตุนั้นคือความ ไร้วินัย อ่อนไหวแตร
วันนี้ ( 3 มี.ค.68) ทีมข่าวลงพื้นที่มายังบริษัทผลิตชิ้นส่วนยางแห่งหนึ่งในซอยเทียนทะเล 20 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่ นายพีท คนขับรถมาสด้าแดงเป็นกรรมการบริษัท สอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าบริษัท ก็ให้ข้อมูลว่า ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ไม่ทราบว่าเป็นใคร อาจจะเป็นอดีตพนักงาน แต่พอทีมข่าวถามว่า เขามีชื่อเป็นกรรมการบริษัท พนักงานรักษาความปลอดภัยก็บอกว่าไม่รู้
ส่วนพนักงานในบริษัทหลาย ๆ คน ก็อ้างกับทีมข่าวว่า เพิ่งเป็นพนักงานใหม่ มาทำงานได้เพียงแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงยังไม่ทราบว่าใครเป็นใคร และถ้าเป็นผู้บริหารจริง คงไม่มานั่งสุงสิงคลุกคลีกับตน
ทีมข่าวได้โทรศัพท์สอบถามไปยังบริษัทฯ ก็ชี้แจงว่า เรื่องนี้บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เรียก นายพีท เข้ามาพูดคุยแล้ว และทราบว่าตอนนี้ได้จ้างทนายความมาสู้คดี ส่วนเรื่องการคาดโทษนั้น ขอให้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริษัทฯ เป็นผู้ตัดสิน
ล่าสุดบริษัทต้นสังกัดของหนุ่มขับรถเก๋งมาสด้า สีแดง ออกแถลงการณ์บริษัทเกี่ยวกับมาตรการชั่วคราวระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส และยึดมั่นในจรรยาบรรณองค์กร จากกรณีที่มีข้อมูลปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพนักงานบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้น และได้ให้คำแนะนำพร้อมทั้งตักเตือนพนักงานในเบื้องต้น เพื่อให้เกิดความตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เพื่อให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเพื่อรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร บริษัทฯ จึงขอสั่งพักงานพนักงานที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2568 จนกว่ากระบวนการสอบสวนจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และยึดมั่นในความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
ขณะที่ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่าพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายกระทำผิดหลายข้อหา หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ผู้ขับขี่รถยนต์อาจถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา นอกจากนี้ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ยังมีข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น และยังมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ระบุว่ารถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุอาจถูกยึดเป็นของหลวง ส่วนเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ส่วนข้อหาพยายามฆ่าจะต้องพิจารณาจากเจตนาของผู้ขับขี่ หากเป็นการขับรถโดยประมาท คึกคะนอง หรือขาดการยั้งคิด อาจไม่เข้าข่ายพยายามฆ่า เว้นแต่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ขับขี่มีเจตนาเล็งเห็นผล เช่น ตั้งใจขับชนซ้ำหรือขับโดยรู้ว่าการกระทำของตนจะทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต
ทนายรณณรงค์ยังกล่าวถึงประเด็นที่แผ่นป้ายทะเบียนของรถยนต์สีแดงที่ปรากฏในคลิปมีลักษณะซีดจาง ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย โดยมีโทษปรับ 2,000 บาท ส่วนประเด็นการเผยแพร่ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้ขับขี่รถยนต์สีแดง ซึ่งมีการระบุพิกัดบ้านและสถานที่ทำงาน ทนายรณณรงค์เตือนว่าหากข้อมูลที่เผยแพร่เป็นข้อมูลจริง อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร์ และการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีเหตุอันควรอาจเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
ทนายรณณรงค์ ยังฝากเตือนประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนว่าควรมีสติและขับขี่อย่างระมัดระวัง พร้อมกล่าวเตือนสติคนขับรถยนต์สีแดงว่าหากผู้ขับขี่บิกไบก์เป็นญาติของตนเองจะยังกล้าขับรถเฉี่ยวชนแบบนี้หรือไม่ พร้อมย้ำว่าชีวิตมนุษย์ไม่สามารถประเมินค่าเป็นตัวเงินได้
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 16.30-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35