การเข้าสู่โลกของการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่เพียงแค่การมีความรู้เท่านั้น แต่ "Mindset การลงทุน" ต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จในระยะยาว
Mindset การลงทุนคืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญ ?
Mindset การลงทุน คือกรอบความคิดที่อยู่ในหัวของเรา ซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองและวางแผนทุกอย่างก่อนที่เราจะเริ่มลงทุน ความคิดเหล่านี้ควรสอดคล้องกับเป้าหมายในการลงทุนของเรา เช่น:
- หากเป้าหมายคือการลงทุนระยะยาว เราควรเฟ้นหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หากราคาตกลงในระยะสั้น เราไม่ควรตกใจเกินไป เพราะเป้าหมายของเราคือการลงทุนเพื่อระยะยาว
- หากเป้าหมายคือการเก็งกำไรระยะสั้น เราอาจต้องหาหุ้นที่มีกราฟสวย เกิดสัญญาณซื้อ หรือมีข่าวดีในช่วงเวลานั้นๆ
ทำไมนักลงทุนมือใหม่มักมองข้ามเรื่อง Mindset ?
หลายคนมองว่าการพัฒนา Mindset เป็นเรื่องเสียเวลาและไม่สำคัญ พวกเขามักให้ความสำคัญกับการเพิ่มพูนความรู้มากกว่า โดยเชื่อว่าความรู้เท่านั้นที่จะทำกำไรให้ได้
แม้ว่าความรู้จะสำคัญ แต่หากอยากอยู่รอดในตลาดหุ้นในระยะยาว เราควรเรียนรู้เรื่อง Mindset ควบคู่กันไปด้วย การมี Mindset ที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่ต้องอาศัยเวลา ประสบการณ์ และการเรียนรู้จากความผิดพลาด
ประสบการณ์ของนักลงทุนมือใหม่
โดยส่วนมากแล้ว นักลงทุนมือใหม่มักจะเจอประสบการณ์เหล่านี้
- ช่วง 1-3 เดือนแรก: หลายคนอาจทำกำไรได้และรู้สึกว่า "มันไม่ยากอย่างที่คิด"
- เมื่อเวลาผ่านไป: เริ่มเจอกับกำไรที่น้อยลงและขาดทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่จะแยกว่าใครจะอยู่รอดในตลาดได้
นักลงทุนที่มี Mindset ที่ดี จะนำจังหวะที่ขาดทุนมาพิจารณาว่าเข้าซื้อเพราะอะไร ขาดทุนเพราะอะไร และพัฒนาจุดอ่อนเพื่อกลับมาใหม่
นักลงทุนที่ยังมี Mindset ไม่ดีพอ มักโทษปัจจัยภายนอกแต่ไม่โทษตัวเอง ทำให้ไม่รู้จุดอ่อนของตนเอง ไม่พัฒนาตัวเอง และสุดท้ายก็มักจะต้องออกจากตลาดไป
5 Mindset การลงทุนที่นักลงทุนมือใหม่มักทำพลาด
1. คิดว่าเทรดบ่อย ๆ ถึงจะดี
นักลงทุนมือใหม่มักอยากเทรดบ่อยๆ เมื่อได้กำไรจะยิ่งสร้างกำลังใจ แต่ต้องไม่ลืมว่า "หุ้นเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม" การซื้อขายกินกำไรคำเล็กๆ ไปเรื่อยๆ หากเจอจังหวะตลาดเท และตัดขาดทุนไม่ทัน อาจทำให้ขาดทุนคำใหญ่
วิธีแก้: คิดไว้เสมอว่าหุ้นเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม และควรขายหุ้นก็ต่อเมื่อหุ้นเปลี่ยนแนวโน้มเท่านั้น
2. คิดว่าต้องเทรดทุกวัน
การ "คันมือ" หรืออยากเทรดทุกวันแม้ว่าตลาดจะไม่เอื้ออำนวย เป็นสิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ทำบ่อย เมื่อตลาดไม่เอื้ออำนวย โอกาสขาดทุนก็สูงขึ้น
วิธีแก้: แบ่งพอร์ตเป็น 2 ส่วน คือพอร์ตหลัก (เงินทุนเยอะ) และพอร์ตเล็กที่ใช้เทรดแก้คันมือ (เงินทุนน้อย)
3. คิดว่าเปอร์เซ็นต์ขาดทุนเท่ากับเปอร์เซ็นต์กำไร
นักลงทุนบางคนคิดว่าหากขาดทุนไป 10% เพียงแค่ทำกำไร 10% ก็จะกลับมาเท่าเดิม ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่
ตัวอย่าง: เงินทุน 100,000 บาท ขาดทุน 10% (10,000 บาท) เหลือ 90,000 บาท หากทำกำไร 10% จาก 90,000 บาท จะได้เพียง 9,000 บาท รวมแล้วมีเงิน 99,000 บาท ยังไม่กลับมาเท่าเดิม
4. เชื่อความคิดคนอื่นมากเกินไป
หลายคนไม่ได้หาหุ้นเอง แต่ได้คำแนะนำจากเพื่อนหรือคนรู้จัก หากกำไรก็โชคดีไป แต่หากขาดทุนก็จะเป็นปัญหา
วิธีแก้: ในช่วงแรกอาจถามเพื่อน ฟังจากกลุ่มหรือเพจหุ้น หรือฟังนักวิเคราะห์ แต่ควรนำหุ้นนั้นมาวิเคราะห์เองอีกครั้ง เพื่อฝึกฝนตนเองและทำให้การตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อมาจากตัวเราเอง
5. ลงทุนแบบได้ไม่คุ้มเสีย
การลงทุนที่กำไรที่อาจได้รับน้อยกว่าความเสี่ยงขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น เป็นปัญหาที่พบได้ทั้งในนักลงทุนมือใหม่และนักลงทุนทั่วไป
คำแนะนำ: พิจารณา "อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง" (Risk Reward Ratio) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนที่จะได้รับกับความเสี่ยงที่จะขาดทุน
สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนคือ เราไม่จำเป็นต้องทำถูกทั้งหมด แต่ต้องยอมรับความผิดพลาดในแต่ละครั้ง แก้ไขข้อเสีย และพัฒนาจุดแข็งให้ดียิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาและเก่งขึ้นในฐานะนักลงทุน
พบกับ "โคชหนุ่ม" และ "กาย สวิตต์" ได้ใน "เงินทองของจริง" ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-8.45 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และช่องทางออนไลน์ TERO Digital