ทุกวันนี้มีอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม มีรสชาติหวานมากมาย หลายรูปแบบ ในวันไหนที่อากาศร้อน หรือหงุดหงิด การทานของหวานเหล่านี้จะช่วยทำให้ผ่อนคลาย และอารมณ์ดีขึ้นได้ทันที นับได้ว่าของหวานกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยทาน ไม่ว่าจะวัยไหนก็ตาม คนไทยกินน้ำตาลเฉลี่ยวันละ 25 ช้อนชา ซึ่งมากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ถึงกว่า 4 เท่า รสชาติหวานนี้นับได้ว่ากลายเป็นสารเสพติด ที่เมื่อไม่ได้ทานอาจจะส่งผลถึงทางอารมณ์ได้
การทานหวานนี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน หัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ถ้าเกิดในอนาคตเป็นขึ้นมารักษากันระยะยาวหรืออาจจะตลอดทั้งชีวิตเลยทีเดียว ทางที่ดีนั้นควรดื่มน้ำเปล่าให้พอดี เพราะ น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่ร่างกายของเราต้องการในแต่ละวัน เพื่อดูแลอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการดื่มน้ำหวานนั้น ช่วยลดความเครียดได้ แต่การดื่มน้ำเปล่ามีประโยชน์มากกว่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น การดื่มน้ำช่วยร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สมองได้รับการกระตุ้นหลังจากตื่นนอน ช่วยให้ทานอาหารได้น้อยลง และย่อยง่ายขึ้น ช่วยให้ทานอาหารได้น้อยลง และย่อยง่ายขึ้น ช่วยให้ลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่วยระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดของเราไหลเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การดื่มน้ำหวานมากไปหรือดื่มน้ำเปล่าน้อยไป จะมีผลเสียมากมาย เช่น รู้สึกไม่สดชื่น ทำให้การคิด ประมวลผล รวมไปถึงการสั่งการของสมองไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ก็จะช้าลง และเลือดของเรายังมีความเข้มข้นสูง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้อย่างไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปวดกระดูกและข้อ
ดังนั้นแล้วทุกคนควรจะเริ่มลดการทานหวานหรือการทานน้ำตาลน้อยลง เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว อาจจะเริ่มจากการปรับจากการสั่งหวานมากให้เป็นหวานน้อย ตรวจสอบอาหารและเครื่องดื่มว่ามีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมหรือมากเกินไปหรือไม่ ทานผลไม้หรือสลัดผัก แทนการทานขนมขบเคี้ยวหรือขนมหวาน และต้องปรับ พฤติกรรมกินน้ำตาลของคนไทยทำได้ด้วยการเปลี่ยนจากการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล มาเป็นการดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 6 - 8 แก้วต่อวันเพื่อสุขภาพที่ดี