ข่าวเย็นประเด็นร้อน - มติศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง กรณี นายธีรยุทธ ร้องว่า นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ร่วมกระทำการล้มล้างการปกครองฯ ชี้น้ำหนักพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ
มติศาล รธน.ไม่รับคำร้อง ทักษิณ ล้มล้างการปกครองฯ
วันนี้ เวลา 09.30 น. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมประจำสัปดาห์ ซึ่งหยิบยกคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย
สำหรับคำร้องที่นายธีรยุทธ ยื่นมี 6 ประเด็น คือ 1.สั่งพรรคเพื่อไทยเอื้อประโยชน์ ไม่ต้องถูกจำคุกแม้แต่วันเดียว 2.สั่งรัฐบาลรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่สมเด็จฮุนเซ็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 3.สั่งพรรคเพื่อไทยร่วมมือกับ พรรคประชาชนแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4.ครอบงำสั่งการพรรคเพื่อไทย เจรจาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเสนอชื่อนายกฯ 5.สั่ง เพื่อไทย ขับ พลังประชารัฐ ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และ 6.สั่งพรรคเพื่อไทยนำนโยบายตัวเองไปเป็นนโยายของ ครม.ที่แถลงต่อรัฐสภา
ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาแล้วเห็นว่า การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฎข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอ ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ
ข้อกล่าวหาในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3-6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะให้เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองฯ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3-6
สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก 7 คน เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ ขณะที่ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอ
นายกฯ อุ้มลูกมาทำเนียบฯ ต้อนรับ โอปอล
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าปฏิบัติงานที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับน้องธาษิณ บุตรชาย และน้องธิธาร บุตรสาว โดยเปลี่ยนมาใช้รถเบนซ์ หมายเลขทะเบียน 4 พท 2566 กรุงเทพมหานคร ถือเป็นการมาทำเนียบรัฐบาลครั้งที่ 3 แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ สามี และลูก เคยมารับที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงเย็น และพาลูกวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า
จากนั้น นางสาวสุชาตา ช่วงศรี หรือ โอปอล รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 เข้าพบ นายกฯ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โอกาสนี้นายกฯ กล่าวต้อนรับ พร้อมแสดงความยินดีกับโอปอล ที่ได้รับตำแหน่งรองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 หลังจากนี้อาจจะขอให้มาช่วยงานรัฐบาล ทางด้านการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของไทย เพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้จัก และเข้าถึงมากยิ่งขึ้น
นายกฯ ดีใจ ศาล รธน.ยกคำร้อง ปม ทักษิณ
จากนั้น นางสาวแพทองธาร ยอมรับว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง ถือว่าเป็นข่าวดี รู้สึกดีใจ ทั้งนี้ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ก็ต้องทำงานต่อไปอยู่แล้ว เพราะเรื่องของประเทศชาติต้องรับผิดชอบ และเรื่องของพ่อก็ต้องให้กำลังใจ รัฐบาลก็ต้องทำงานต่อไป และต้องพยายาม ทำให้รัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาทำงานให้ครบ 4 ปี เพื่อนโยบายจะได้เสร็จสมบูรณ์
นายกฯ เผยพี่สาวพาแม่ทำบุญวันเกิดครบ 68 ปี
เมื่อถามถึงกรณีที่วันนี้ (22 พ.ย.) เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 68 ปี ของคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ มารดา นางสาวแพทองธาร ตอบกลับสื่อมวลชนว่า ทราบด้วย ดีใจจัง โดยตนยังไม่ได้ไปทำบุญกับแม่ เพราะเกรงว่าจะติดเรื่องมาทำงาน ตอนนี้ให้พี่สาวพาไปทำบุญ เดี๋ยวตอนเย็นจะกลับไปทานข้าวด้วยกัน ส่วนของขวัญครบรอบ 68 ปี คืออะไรนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ (23 พ.ย.) จะมาบอก เพราะคุณแม่ยังไม่ได้แกะเลย รอคุณแม่เปิดก่อน เพราะเดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น
เปิดลงทะเบียนบัตรคนจน รอบใหม่ มี.ค. 68
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการเปิดให้ลงทะเบียนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จะเปิดลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน รอบใหม่ ก่อนสิ้นเดือนมีนาคม 2568 คาดว่า จะมีผู้มาลงทะเบียนกว่า 25 ล้านคน เป็นผู้มีสิทธิปัจจุบัน 14.5 ล้านคน กลุ่มนี้ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ทางรัฐจะนำรายชื่อไปคัดกรองสิทธิให้อัตโนมัติ และอีก 10 ล้านคนเป็นกลุ่มใหม่ ไม่เคยรับสิทธิมาก่อน มาจากคนที่เพิ่งอายุครบ 18 ปี และกลุ่มที่เคยลงทะเบียนแล้ว แต่ไม่ได้รับสิทธิ โดยจะให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ
นายจุลพันธ์ ยังบอกว่า ขณะนี้มีประชาชนที่ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ไม่ได้ไปยืนยันตัวตน กว่า 1 ล้านคน จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 14.5 ล้านคน ตรวจสอบพบว่า มีผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว 300,000 คน เหลืออีก 700,000 คน จึงขอให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าว ไปตรวจสอบสิทธิ ผ่านเว็บไซต์โครงการลงทะเบียน เพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ Welfare.mof.go.th จากนั้นให้เร่งยืนยันตัวตนผ่านธนาคารกรุงไทย ภายในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ เพื่อรับสิทธิสวัสดิการที่เหลือ แต่จะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง มิฉะนั้น จะถือเป็นการสละสิทธิ
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 16.00-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35