ใต้ผืนดินชายแดนไทย-กัมพูชา คุณรู้หรือไม่ว่า มีสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากน้ำมือคนไทยทอดยาวข้ามประเทศ ไม่ต่างจากรากไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านใต้ผืนดิน แต่แทนที่จะหล่อเลี้ยงชีวิต กลับกลายเป็นเส้นทางแห่งการหลอกลวง ส่งเสียงหวานใสกลับมาหลอกหลอนคนไทยทุกบ้านเรือนทั่วแผ่นดิน
พิสูจน์ชัดจากข้อมูลของ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา คนไทยต้องรับโทรศัพท์ หรือรับข้อความสั้น (SMS) จากมิจฉาชีพเกือบ 79 ล้านครั้ง ซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดในเอเชีย หากคิดเป็นค่าเฉลี่ย คนไทยแต่ละคนต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามนี้ถึง 27.6 ครั้งต่อปี แบ่งเป็นการรับสายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7.3 ครั้ง และการได้รับข้อความหลอกลวงอีก 20.3 ครั้ง
ตัวเลขนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ระบุถึงการหลอกลวงจากคอลเซนเตอร์หรือข่มขู่ทางโทรศัพท์ โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (1 มี.ค. 2565 - 30 มิ.ย. 2567) มีการแจ้งความจากประชาชนรวมกว่า 40,000 เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น มูลค่าความเสียหายที่ประเมินได้จากการแจ้งความเพียงส่วนเดียวนั้น ทะลุเพดานไปถึง 9 พันล้านบาท
ทว่า สถิติอันน่าตกใจนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา แต่ยังชี้ให้เห็นถึงโศกนาฏกรรมที่แฝงอยู่เบื้องหลังตัวเลข ดังเช่นกรณีของคุณปู่ไพรสัณต์
- "นอนไม่หลับ คิดแต่จะหาเงินไถ่บ้าน" มิจฉาชีพไซเบอร์ ลวงปู่สูญ 22 ล้าน !
ถกไม่เถียง Scoop มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณปู่ ไพรสัณต์ จันทร์สุริยวงศ์ หรือคุณปู่อ๊อด วัย 81 ปี อดีตพนักงาน กฟผ. คุณปู่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แอบอ้างเป็นตำรวจ โดยหลอกว่า บัญชีธนาคารของคุณปู่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในหน่วยงานราชการ และอ้างว่ามีคำสั่งศาลให้ตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมขู่ว่าจะดำเนินคดีหากไม่ทำตาม ด้วยความกลัว คุณปู่จึงโอนเงินให้มิจฉาชีพ 19 ล้านบาท
นอกจากนี้ แก๊งมิจฉาชีพยังหลอกให้คุณปู่จำนองบ้านอีก 3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 450,000 บาท โดยให้ผ่อนชำระดอกเบี้ยเดือนละ 37,000 บาท และต้องคืนเงินต้น 3 ล้านบาทภายใน 1 ปี เมื่อรวมเงินทั้งหมดที่คุณปู่สูญเสียไปแล้ว รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 22,095,000 บาท ส่งผลให้คุณปู่และครอบครัวต้องเผชิญกับความเดือดร้อนทางการเงินอย่างหนัก และเสี่ยงที่จะสูญเสียบ้านหากไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนได้ทันเวลา
ความสูญเสียครั้งนี้ทิ้งรอยแผลลึกในใจของคุณปู่ ที่ต้องสูญเสียเงินเก็บตลอดชีวิตจากการทำงานกว่า 22 ล้านบาท และเสี่ยงที่จะสูญเสียบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจและหามาด้วยความยากลำบาก
คุณปู่เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ผมรู้สึกผิดมากที่ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก ทุกคืนนอนไม่หลับ คิดแต่ว่าจะหาเงินที่ไหนมาไถ่ถอนบ้าน"
ความกังวลใจนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของคุณปู่เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
และมีภาระหนักที่ต้องหาเงินมาผ่อนชำระค่าดอกเบี้ยเดือนละ 37,000 บาท และต้องหาเงิน 3 ล้านบาทมาไถ่ถอนบ้านภายใน 1 ปี กลายเป็นความกดดันมหาศาลสำหรับผู้สูงวัยและครอบครัว สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบอันร้ายแรงของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่เพียงแต่ทำลายทรัพย์สิน แต่ยังทำลายความมั่นคงในชีวิตและจิตใจของผู้คนอีกมากมาย
เรื่องราวของคุณปู่เป็นเพียงหนึ่งในหลายหมื่นเรื่องราวของผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ยังมีเหยื่ออีกจำนวนมากยังคงทุกข์ทรมานอยู่ในเงามืด ฉะนั้น การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เพื่อทลายเครือข่ายอาชญากรรมนี้ จึงเป็นที่จับตามองว่าจะสามารถยุติวงจรแห่งความเจ็บปวดนี้ได้หรือไม่?
- เปิดโปง! วงจรอุบาทว์ "เน็ตใต้ดินข้ามแดน" เครือข่ายมืดคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทย
กระทั่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหนึ่ง พบข้อมูลว่า มีอาคารร้างแห่งหนึ่งใกล้เขตชายแดนกัมพูชา ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ที่นั่นไม่มีแม้แต่มนุษย์อาศัยอยู่ แต่กลับพบการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมหาศาล ราวกับมีคนนับร้อยอาศัยอยู่ในอาคาร ความพิลึกนี้ จุดประกายของการสืบสวนสอบสวนทั้งหมด
ถกไม่เถียง Scoop พาคุณไปเจาะลึกเบื้องหลังปฏิบัติการครั้งใหญ่ในเช้าวันที่ 1 เมษายน 2567 ณ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
เมื่อความสงบถูกทำลายด้วยเสียงรถขุดดินและการเคลื่อนพลของเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจ กสทช. และกองทัพบก พร้อมด้วยหมายค้นจากศาล มุ่งหน้าสู่อาคารร้างที่แสนธรรมดา แต่ “ซ่อนความลับ” อันน่าตกใจไว้เบื้องหลัง !
เมื่อทีมสืบสวนเข้าไปในอาคาร พวกเขาพบกับอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ไม่น่าจะมีอยู่ในสถานที่เช่นนี้ แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ “การค้นพบสายอินเทอร์เน็ตที่ถูกฝังลึกลงใต้ดิน ทอดยาวกว่า 700 เมตร ฝังลึกลงไปใต้ผืนดินราว 7 นิ้ว และลากผ่านที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งไปยังประเทศกัมพูชา”
(ภาพจำลองเส้นทางลากสายอินเทอร์เน็ตมุดดินไปกัมพูชา)
ขณะที่ การสืบสวนดำเนินไป ความลับเริ่มเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่พบว่า “อาคารสำนักงานขายคอนโดมิเนียมร้าง” แห่งนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น มันเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่ !
เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นอาคารร้าง พวกเขาพบสิ่งที่น่าตกใจ มีการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงถึง 6 จุด เมื่อรวมทุกจุดเชื่อมต่อแล้วสามารถใช้งานได้พร้อมกันถึง 384 IP Address!
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ มีคนจ่ายค่าบริการทั้งหมดนี้เพียงคนเดียว แต่ทำไมคนๆ เดียวถึงต้องการใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากมายถึงเพียงนี้? และเขาใช้มันเพื่ออะไร?
ทว่า มีเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าเกิดขึ้นระหว่างการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบร่องรอยการตัดสายอินเทอร์เน็ต 3 เส้น และเมื่อตรวจสอบจากภาพกล้องวงจรปิด จึงได้พบว่า มีชาย 2 คนเข้ามาตัดสายเพียงชั่วโมงเดียวก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง!
ถกไม่เถียง Scoop ติดตามตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก เพื่อหาที่มาที่ไปของชาย 2 คนนี้ ว่าที่แท้พวกเขาคือใคร? ทำไมกล้ามาตัดสายก่อนที่ตำรวจจะลงพื้นที่? สุดท้าย ได้คำตอบว่า ชายทั้ง 2 คนไม่ใช่ใครที่ไหน แต่พวกเขาคือ “เจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเจ้าดัง”
เมื่อติดตามตัวชายทั้งสองมาสอบสวน พวกเขาอ้างว่าได้รับคำสั่งจาก "นาย ป." ชายปริศนาให้มาตัดสาย “นาย ป.” ผู้นี้ เขาคือใคร ทดไว้ในใจ? ทำไมถึงพยายามทำลายหลักฐานก่อนที่จะมาถึง? และ “ข่าวหลุด” ไปได้อย่างไรว่า ตำรวจจะลง?
- จาก ‘นาย ก.’ สู่ 'นาย ป.' เบื้องหลังวงจรอุบาทว์ลากเน็ตใต้ดิน-ใต้น้ำ หลอกคนไทยทั่วประเทศ
ด้วยคำถามที่ว่า ทำไมคนหนึ่งคน ถึงใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมหาศาล ราวกับมีคนนับร้อยอาศัยอยู่ในอาคารร้าง? คำถามนี้นำทีมสืบสวนไปสู่กรุงเทพมหานครฯ
ที่นั่น พวกเขาได้ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบบริษัทให้บริการเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพฯ หลังพบว่าเป็น “บริษัท” ที่มีชื่อขอใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตภายในอาคารร้างที่ จ.สระแก้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจ พบตัว “นาย ก.”(ตำรวจเปิดเผยเพียงชื่อย่อ) เป็นกรรมการบริษัทฯ มีชื่อเป็นผู้ขอใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตและเป็นผู้ที่ชำระบริการอินเทอร์เน็ตภายในอาคารสำนักงานขายคอนโดมิเนียมร้างดังกล่าว จากการตรวจค้น พบเอกสารเกี่ยวกับการเช่าใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่อาคารร้างแห่งนี้ และพบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง รวม 9 รายการ
"นาย ก." ผู้นี้ได้ยอมรับว่าเป็นคนขอใช้อินเทอร์เน็ตและจ่ายค่าบริการ แต่เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนๆ หนึ่งเท่านั้น และคนที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงคือ "นาย ป." บุคคลที่แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็ทำได้เพียงแค่บอกชื่อย่อ
ทั้งนี้ ในวันที่ 1 เม.ย. 67 ที่ตำรวจไปจับ นาย ก. เขาสารภาพว่า เขาแค่รับจ้างใช้ชื่อตัวเองขอใช้อินเทอร์เน็ต โดยมี นาย ป. จ่ายเงินให้เขา “เดือนละ 300,000 บาท” ตลอดระยะ “เวลา 2 ปี”
และเมื่อนำเงิน 300,000 บาท มาคูณสองปี ก็เท่ากับเป็นจำนวนเงิน 7.2 ล้านบาท ที่นาย ก.ได้รับมาอย่างสบายๆ โดยตลอด 2 ปี
- จากบริษัทเงา “นาย ก.” สู่คอลเซ็นเตอร์หลอกลวงข้ามชาติ
ถกไม่เถียง Scoop สืบค้นข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า นาย ก. จดทะเบียนบริษัทเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 โดยระบุวัตถุประสงค์เป็นผู้รับเหมาติดตั้งและซ่อมบำรุงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีภรรยาร่วมมีชื่อเป็นกรรมการ ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทเดียวกันกับที่ขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับอาคารร้างที่อยู่ในประเด็นการสืบสวน
แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ บริษัทนี้ดำเนินกิจการเพียง 1 ปี 3 เดือนก็จดทะเบียนเลิกกิจการในวันที่ 27 มีนาคม 2567 เพียง 4 วันก่อนที่นาย ก. จะถูกจับกุม คำถามคือ นาย ก. ได้ข่าวหลุดอะไรมาก่อนหรือไม่?
เมื่อตรวจสอบงบการเงินปี 2566 พบว่าบริษัทของ นาย ก. มีรายได้รวม 134,900.00 บาท มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 975,100.77 บาท มีรายจ่ายรวม 1,094,782.77 บาท และขาดทุนสุทธิ 959,882.77 บาท
ถกไม่เถียง Scoop สืบค้นโซเชียลมีเดียของนาย ก. ย้อนหลัง 2 ปี พบว่า เขาใช้ชีวิตหรูหรา ทั้งการท่องเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว ซื้อสินค้าแบรนด์เนม และรถยนต์ราคาแพง ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับสถานะทางการเงินของบริษัท
ส่วนที่น่าสนใจคือภาพในอินสตาแกรมของ นาย ก. เมื่อปี 2565 ที่แสดงให้เห็นว่า นาย ก. กำลังทำงานคล้ายการโยงสายไฟและขุดดิน อยู่ในพื้นที่ที่คล้ายคลึงกับจุดที่ตำรวจพบการติดตั้งสายอินเทอร์เน็ตมุดดิน ในพื้นที่อรัญประเทศ พร้อมแคปชัน "งานสบาย"
แต่เบื้องหลังของปฏิบัติการนี้ ยังมีตัวละครสำคัญที่ถูกเรียกว่า "นาย ป." ตัวการใหญ่บงการ "นาย ก." และอยู่เบื้องหลังการ "ลากสายอินเทอร์เน็ตมุดใต้ดินข้ามแดน" เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคอลเซ็นเตอร์ไว้ใช้หลอกลวงคนไทยในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และคุณรู้หรือไม่ บางจุดที่ลากสายมุดใต้ดินไม่ได้ ขบวนการนี้ถึงขั้นลากสายลงใต้แม่น้ำ !
- เจาะเบื้องหลัง อิทธิพลมืด “นาย ป.” ขบวนการ “แก๊งคอลฯ” ที่ตำรวจไม่กล้าเอ่ยชื่อ
ในการสืบสวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจเลือกใช้เพียงชื่อย่อ "นาย ป." ในการสื่อสารกับสื่อมวลชน แทนการเปิดเผยชื่อเต็มและรายละเอียดส่วนตัว สิ่งนี้สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนของคดีและบ่งชี้ว่า "นาย ป." เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูง โดยเฉพาะกรณีที่ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมตัวได้ ยิ่งเพิ่มความน่าสงสัยเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขา
ในรายงานพิเศษชิ้นนี้ ถกไม่เถียง Scoop ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับคนมีสีหลายท่าน เพื่อสอบถามถึงข้อมูลของขบวนการดังกล่าว แต่คำตอบที่ได้ แทบจะเป็นประโยคที่ตรงกันทั้งสิ้น ซึ่งประโยคนั้น คือ “ให้ข้อมูลได้ทุกอย่าง แต่ไม่ขอบอกชื่อเต็ม นาย ป. เพราะเดี๋ยวจะกระทบหลายคนหลายฝ่าย”
แต่จากการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก ในที่สุดถกไม่เถียง Scoop จึงได้รับข้อมูลว่า "นาย ป." ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในประเทศกัมพูชา และเป็นเพียง "แขนขา" ของเจ้าพ่อกาสิโนชาวไทยรายใหญ่ที่มีอิทธิพลในวงการธุรกิจสีเทา ซึ่งเจ้าพ่อรายนี้ควบคุมบ่อนพนันหลายแห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ และล่าสุดคือบ่อนพนันออนไลน์ ถือเป็นเบอร์ 1 ในวงการสีเทา
แหล่งข่าวระบุว่า เจ้าพ่อรายนี้มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้มีอำนาจทางการเมือง คนมีสีระดับสูง(มาก) และกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเอื้อให้เขาขยายอาณาจักรธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งในและนอกประเทศ แต่ที่น่าวิตกคือ เครือข่ายนี้สามารถเข้าถึง "ข่าวลับข่าวหลุด" ได้อย่างง่ายดาย
- จากเหนือจรดใต้ เครือข่ายขบวนการ “เน็ตใต้ดิน-ลอดใต้น้ำ” แผ่ขยาย 9 จังหวัดทั่วไทย
ข้อมูลล่าสุดที่ ถกไม่เถียง Scoop ได้รับจากแหล่งข่าวระดับสูง เผยให้เห็นว่าเครือข่ายของ "นาย ป." ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ชายแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว แต่มีหลักฐานแสดงถึงความเชื่อมโยงว่า มีการ “แผ่ขยายการลากสายอินเทอร์เน็ตมุดใต้ดินข้ามแดน” ไป “ทั่วประเทศ” โดยเฉพาะพื้นที่ที่ติดชายแดน อันเป็นปฏิบัติการที่ซับซ้อนและกว้างขวางเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
จากการลงพื้นที่ของถกไม่เถียง Scoop เราพบว่ามีหลายจังหวัดที่มีความเชื่อมโยงของเครือข่ายนี้ ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ โดยแต่ละพื้นที่มีวิธีการซ่อนเร้นสายอินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกันไป
และที่น่าตกใจที่สุดคือ ในบางพื้นที่หากติดแม่น้ำ ขบวนการของ “นาย ป.” จะทำการลากสายอินเทอร์เน็ต “มุดใต้น้ำ” ข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่
ข้อมูลที่ ถกไม่เถียง Scoop ได้รับจากแหล่งข่าวระดับสูงนั้น เปิดเผยถึงพื้นที่ที่ตรวจพบการลักลอบวางสายอินเทอร์เน็ตใต้ดินที่โยงใย กับ “นาย ป.” และ “เจ้าพ่อกาสิโนหมายเลข 1” สะท้อนให้เห็นถึงขอบเขตอันกว้างใหญ่ของเครือข่ายนี้ ครอบคลุม 9 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน โดยมีข้อมูลดังต่อไปนี้
ภาคเหนือ
จ.เชียงราย : พบใน อ.เชียงของ, เชียงแสน และแม่สาย
จ.ตาก : พบใน อ.แม่สอด, แม่ระมาด และพบพระ
ภาคอีสาน
จ.มุกดาหาร : พบใน อ.เมืองมุกดาหาร
จ.หนองคาย : พบใน อ.เมืองหนองคาย
จ.สุรินทร์ : พบใน อ.กาบเชิง
จ.บุรีรัมย์ : พบใน อ.บ้านกรวด
ภาคตะวันออก
จ.สระแก้ว : พบใน อ.อรัญประเทศ
จ.จันทบุรี : พบใน อ.โป่งน้ำร้อน
ภาคใต้
จ.ระนอง : พบใน อ.เมือง
การกระจายตัวของจุดที่พบการลักลอบวางสายอินเทอร์เน็ตใต้ดินนี้ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและการวางแผนอย่างรอบคอบของเครือข่ายอาชญากรรม โดยเฉพาะการเลือกพื้นที่ชายแดนที่มีช่องทางเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้ให้บริการเน็ตยักษ์ใหญ่ ลากสายเน็ตให้ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์" ?
จากขบวนการที่ไล่เรียงมาทั้งหมดนั้น ถกไม่เถียง Scoop ตั้งข้อสงสัยต่อเนื่องถึง “ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต” เจ้าใหญ่ในเมืองไทย ที่ยินยอมให้ขบวนการดังกล่าว มาขอใช้สัญญาณใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งๆ ที่ “ผู้มาขอใช้บริการ” มีพิรุธชัดเจนว่า 1.ทำไมจึงมีการอนุมัติให้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในปริมาณมหาศาลที่อาคารร้าง? และ 2.ทำไมถึงยอมให้ลากสายมุดใต้ดินไปถึงชายแดนโดยไม่ตั้งคำถามใดๆ เลย?
ฉะนั้น “หากผู้ให้บริการเจ้าใหญ่” กล้าทำเช่นนี้ ถือว่ามีความผิดหรือไม่? ถกไม่เถียง Scoop สอบถามถึงเรื่องนี้ไปยัง พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และฝ่ายความมั่นคง
พล.ต.อ.ณัฐธร ตอบข้อซักถามนี้ว่า “ในกรณีของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่อนุญาตให้มีการใช้งานในลักษณะที่ผิดปกติ กสทช. มีมาตรการลงโทษตั้งแต่ 1.แจ้งเตือน 2.ปรับ 3.พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งในกรณีของอรัญประเทศ ทาง กสทช. ได้เรียกผู้ให้บริการเข้ามาตักเตือนแล้ว”
“ทาง กสทช. มีการตรวจสอบอยู่แล้วว่าผู้ให้บริการดำเนินการตามเงื่อนไขของใบอนุญาตที่ได้รับหรือไม่ ซึ่งการจะระบุว่าผู้ให้บริการกระทำผิดนั้นทำได้ยาก เนื่องจากสัญญาณอินเทอร์เน็ตมีลักษณะการกระจายเป็นวงกว้างและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขอบเขตการกระจายสัญญาณขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งและความใกล้ชิดกับแนวชายแดน ดังนั้น การควบคุมอย่างเข้มงวดจึงทำได้ยากในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยตรงเป็นหน้าที่ของตำรวจ”
ถกไม่เถียง Scoop ไม่รอช้า ติดต่อไปยังตำรวจทันที และโยนคำถามสำคัญไปยัง พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า "ทำไมผู้ให้บริการถึงกล้าติดตั้งสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้กับลูกค้าที่น่าสงสัย โดยที่อาจรู้ว่ากำลังเอื้อประโยชน์ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์?"
พล.ต.ท.ธัชชัย ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ธุรกิจย่อมมุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุด ยิ่งเขาทำเขายิ่งรวย ในตอนแรกผู้ให้บริการอาจไม่มีข้อมูล แต่ตอนนี้เราได้แจ้งเตือนผู้ให้บริการแล้วว่า การติดตั้งตามแนวชายแดนมีความเสี่ยง อาจถูกใช้งานโดยกลุ่มคนร้าย ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจต้องระมัดระวังมากขึ้น"
ส่วนเรื่องของการดำเนินคดีผู้ให้บริการนั้น ทาง พล.ต.ท.ธัชชัย ให้คำตอบว่า “ผู้ให้บริการอ้างว่า เขาไม่รู้ว่าแก๊งคอลเซนเตอร์เอาอินเทอร์เน็ตของเขาไปใช้ เขาให้เหตุผลว่า เขาลากสายฝังดินไปก็จริง แต่ทางฝั่งนู้น มันมาเสียบสายของเขาเอง เขาไม่รู้เรื่อง ในเรื่องนี้ จึงไม่สามารถเอาผิดเขาได้”
ในขณะที่ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูเหมือนจะไม่มีทางสิ้นสุด แต่เบื้องหลังการทำงานของตำรวจกลับมีความคืบหน้าที่น่าจับตามอง พล.ต.ท.ธัชชัย เปิดเผยกับถกไม่เถียง Scoop ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นว่า "ตอนนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เร่งกวาดล้างการลักลอบวางสายอินเทอร์เน็ตใต้ดินอย่างจริงจัง และเราเริ่มเห็นผลแล้วว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์กำลังได้รับความเดือดร้อน
“การตัดสายอินเทอร์เน็ตมุดดินข้ามแดนนี้ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์สูญเสียช่องทางการสื่อสารหลัก พวกเขาไม่สามารถโทรเข้ามาหลอกคนไทยได้เหมือนเดิม เราพบว่าจำนวนสายที่โทรเข้ามาหลอกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การที่พวกเขาต้องหาวิธีการใหม่ๆ ในการลักลอบเชื่อมต่อสัญญาณ ทำให้ต้นทุนในการดำเนินการของพวกเขาสูงขึ้นมาก บางกลุ่มถึงขั้นต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว” พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวให้เห็นภาพ
“แม้พวกเขาจะปรับตัวเร็ว แต่เราก็กำลังพัฒนาวิธีการใหม่ๆ ในการรับมือ ซึ่งผมเชื่อว่าจะเห็นผลชัดเจนในอีกไม่ช้า” พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวเสริม
- เปิดกลยุทธ์ต่างชาติ พิชิตภัยคอลเซ็นเตอร์ เห็นผลชัด !
ในขณะที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทย แต่มีบางประเทศได้พิสูจน์แล้วว่า การสยบปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แล้วนานาชาติเขาทำกันอย่างไร?
ถกไม่เถียง Scoop ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาฯ ม.รังสิต เพื่อหาทางออกของปัญหาคอลเซ็นเตอร์จากประสบการณ์ของนานาประเทศ โดย รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
จากการสัมภาษณ์ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ เผยว่า หลายประเทศทั่วโลกได้พัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับภัยคอลเซ็นเตอร์ และเห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา
ภาพจาก : cait00sith/Envato
“ญี่ปุ่น” ได้พลิกโฉมการต่อสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างน่าสนใจ จากที่ญี่ปุ่นเคยมีคดีฉ้อโกงทางโทรศัพท์สูงถึง 6,844 คดีในปี 2561 กลับลดเหลือเพียง 2,183 คดีในปี 2565 นั่นหมายความว่า ภายในเวลาแค่ 4 ปี ญี่ปุ่นสามารถลดจำนวนคดีลงได้ถึง 68% โดยวิธีการของญี่ปุ่นนั้นรอบด้าน ทั้งการออกกฎหมายอย่างเข้มงวด, การให้ความรู้ประชาชน, สร้างความร่วมมือระหว่างตำรวจ บริษัทโทรคมนาคม สถาบันการเงิน และการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการสกัดกั้นสายจากคอลเซนเตอร์ แม้ว่า รูปแบบการหลอกลวงบางประเภทในญี่ปุ่นจะลดลง แต่รูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ซึ่งญี่ปุ่นนั้น มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ภาพจาก : LightFieldStudios/Envato
“สิงคโปร์” สามารถลดมูลค่าความเสียหายจากการฉ้อโกงทางโทรศัพท์ลงได้ถึง 72.7% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสิงคโปร์จัดตั้งหน่วยปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์โดยเฉพาะ และร่วมมือกับสถาบันการเงินในการตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย แม้ว่ามาตรการต่างๆ จะมีผลบังคับใช้ แต่จำนวนคดีหลอกลวงในสิงคโปร์ก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากกลโกงที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ภาพจาก : FabrikaPhoto/Envato
“สหรัฐอเมริกา” ได้นำ AI มาใช้ในการต่อกรกับเหล่าคอลเซนเตอร์ และกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้กระทำผิด ผลลัพธ์คือ ในปี 2565 เพียงปีเดียว สหรัฐอเมริกาสามารถป้องกันการสูญเสียเงินของประชาชนได้มากถึง 2 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 7 หมื่นล้านบาท
ประสบการณ์จากนานาชาติเหล่านี้ชี้ชัดว่า การเอาชนะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด
ฉะนั้น “สายอินเทอร์เน็ตใต้ดินที่ทอดยาวข้ามแดน” ไม่ใช่เพียงเส้นใยแก้วนำแสง แต่เป็น “เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงอาชญากรรมข้ามชาติ”
ทุกวินาทีที่เราเพิกเฉย คือทุกบาททุกสตางค์ที่คนไทยต้องสูญเสีย และทุกชีวิตที่อาจต้องพังทลาย ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องขุดรากถอนโคนปัญหานี้ให้สิ้นซาก ยกระดับการต่อสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อตัดวงจรอุบาทว์นี้ให้ขาดสะบั้น !
ทีมถกไม่เถียง Scoop