ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ตำรวจแถลงปมสังหารหมู่ 6 ศพชาวเวียดนาม กลางโรงแรมดังกลางกรุง หนึ่งในผู้ตายเป็นคนวางยาพิษ
ความคืบหน้ากรณีพบศพผู้เสียชีวิตเป็นชายและหญิงชาวเวียดนาม 6 คน ถูกวางยาพิษ เสียชีวิตในห้องพักพูลวิลล่า โรงแรมหรูย่านราชประสงค์เมื่อช่วงเย็นวานนี้ที่ สน.ลุมพินี พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พร้อมด้วย พลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) พลตำรวจตรีธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงหลังร่วมประชุมติดตามความของคดี
พลตำรวจตรี นพศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ตรวจชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุ เก็บพยานหลักฐาน และสืบสวนสอบสวน ซักถามพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง พยานแวดล้อม และญาติผู้เสียชีวิต มากกว่า 10 ปาก รวมถึงตรวจหลักฐานกระเป๋าเสื้อผ้า 8 ใบ เรียบร้อยแล้ว
ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่า มีการจองโรงแรมเพื่อเข้าพัก 7 คนนั้น จากการตรวจสอบของ ตม. พบว่า คนที่ 7 เป็นน้องสาวของผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 เดินทางเข้าไทยมาพร้อมกับพี่สาว เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม แต่เดินทางกลับไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ซึ่งทาง ตม. อยู่ระหว่างประสานเพื่อสอบถามสาเหตุของการเดินทางกลับก่อน
จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงแรม พบว่าทุกคนได้มาเช็กอินเข้าพักด้วยตัวเอง และไม่มีบุคคลอื่นที่เข้าไปพักด้วยเลย และภาพจากกล้องวันที่ 14-15 กรกฎาคม ตามไทม์ไลน์ที่เกิดเหตุ ณ เวลานี้สามารถยืนยันได้ว่า ไม่ได้มีบุคคลอื่น นอกเหนือจาก 6 คนนี้ ที่เข้าไปในห้องที่เกิดเหตุเลย ทั้งทางประตูหน้าและประตูหลัง นอกจากพนักงานเสิร์ฟอาหารที่ได้เรียกมาให้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว
ซึ่งวันที่พบศพ คือวันที่ 16 กรกฎาคม เวลา 16.30 น. พนักงานโรงแรมได้เข้าไปตรวจสอบ เพราะเลยเวลาเช็กเอาต์แล้ว พอส่องไฟไปที่ใต้ประตูพบมีคนนอนอยู่ นึกว่าเป็นลม จึงไปนำเครื่องปั๊มหัวใจ แต่ประตูด้านหน้าห้องล็อกจากด้านใน จึงอ้อมไปด้านหลัง พบทั้ง 6 คนเสียชีวิต จึงมาเปิดประตูด้านหน้า เรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
พลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ร่วมกับพนักงานสอบสวนตรวจสถานที่เกิดเหตุ โดยเก็บวัตถุพยานไปพิสูจน์ ทั้งแก้วกาแฟ ของเหลวในกระติกชา ขวดน้ำ กระบุกชา น้ำผึ้ง ส่วนการเก็บสารพันธุกรรม และลายนิ้วมือแฝงได้เก็บทุกอย่างครบถ้วน
ในเบื้องต้นพบว่าที่กระติกชาและแก้วทั้ง 6 ใบในห้องพักพบสารไซยาไนด์ ดังนั้น ณ เวลานี้ ฝ่ายสืบสวนจึงเชื่อว่า 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต ได้ก่อเหตุใช้สารไซยาไนด์ผสมกับเครื่องดื่ม หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟกลับออกมา ซึ่งหลังจากนี้จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลเพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างรอผลพิสูจน์หลักฐานทั้งหมด, ผลชันสูตรศพ, ดีเอ็นเอลายนิ้วมือแฝง รวมถึงได้ประสานกับสถานทูตเวียดนาม สถานทูตสหรัฐอเมริกา และ FBI เข้ามาร่วมคลี่คลายด้วย
ส่วนญาติของผู้เสียชีวิตบางส่วน ได้เรียกมาสอบปากคำแล้วเมื่อคืนนี้ ซึ่งก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งของกลุ่มผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตเชื่อว่ามี 1 ใน 6 คนที่ทำให้เกิดเหตุขึ้น ไม่ได้ติดใจในประเด็นอื่น
ทั้งนี้ ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัวของทั้ง 6 คน ไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ผลักดันมาก่อเหตุในประเทศไทยแต่อย่างใด ส่วนการตรวจสอบกระเป๋าเดินทางทั้ง 8 ใบของผู้เสียชีวิต ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใด ๆ
สำหรับที่มาของสารไซยาไนด์ที่พบก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมว่าเป็นการนำเข้ามา หรือมาสั่งซื้อในประเทศไทยอย่างไร รวมถึงหีบห่อที่บรรจุสารดังกล่าวก่อนผสมในเครื่องดื่ม ก็ต้องรอผลอย่างละเอียดจาก พฐ.อีกครั้ง
ด้าน พลตำรวจตรี พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระบุว่า ในส่วนของ ตม. ได้ประสานขอข้อมูลผ่านทางสถานทูตเวียดนามและสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาประกอบกับข้อมูลของชุดสืบสวน ซึ่งจะทำให้ได้ความชัดเจนของคดีนี้มากขึ้น ขณะที่ทาง FBI ได้มาขอข้อมูล แต่การสอบสวนยังอยู่ที่ตำรวจไทย และยืนยันได้ว่า ทั้งหมดไม่มีใครมีหมายจับ ไม่ว่าจะเป็นหมายจับสีใด เพราะหากมีหมายจับก็ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้อยู่แล้ว รวมถึงจากการตรวจสอบประวัติภายในประเทศต้นทาง ก็ไม่พบประวัติคดีอาชญากรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บุคคลที่เชื่อว่าเป็นญาติของผู้ตายจากเหตุการณ์ในโรงแรมหรูกลางกรุง เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม ถึงข้อมูลของผู้ตาย และทำเรื่องติดต่อขอรับศพ จากการสอบถามกลุ่มบุคคลดังกล่าว ปฏิเสธให้ข้อมูล
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 16.00-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35