ระทึก ! ชี้ชะตา “บิ๊กโจ๊ก” ไพ่ออกได้ 2 หน้า “กลับมาผงาด” หรือ “หมดอำนาจ” ?

ลุ้นพร้อมกัน กับผลสรุปคดี “บิ๊กโจ๊ก” ถูกสั่งให้ออกจากราชการ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?

 

วันที่ 26 มิ.ย. 67 รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาฯ ม.รังสิต ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ว่า ตนมองว่าที่ผ่านมาก็มีกรณีที่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้วค่อยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เหตุหลักฐานชัด ในความเป็นจริงประชาชนคงตั้งคำถามถ้าไม่ให้ออกจากราชการ ในกรณีท่ารองฯ สุรเชษฐ์ ปัจจุบันใช้พระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีความเห็นที่แตกต่างกันเช่นกัน โดยแย้งด้วยกฎหมายที่แตกต่างกัน ต้องมาดูที่การตีความของกฎหมาย

 

 

ในส่วนของมาตรา 120 วรรค 4 อธิบายง่าย ๆ คือ ถ้าข้าการตำรวจถูกตั้งคณะกรรมการวินัยร้ายแรง ต้องมีการสอบสวนโดยคณะกรรมการและรอฟังผลการสอบสวนก่อน ถึงจะทำการลงโทษ จึงมีการโต้แย้งกันระหว่าง มาตรา 131 กับ มาตรา 120 วรรค 4 ประเด็นคือ ผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรักษาการ ผบ.ตร. หรือ ผบ.ตร. ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการได้ไหม ถ้ากระทำความผิดทางอาญา คำตอบคือ ได้ แล้วถ้าให้ออก ต้องจากราชการเมื่อไร ออกได้เลยหรือไม่ หรือต้องรอฟังผลจากคณะกรรมการที่เป็นไปตามมาตรา 120 วรรค 4 โดยท่านรองฯ สุรเชษฐ์ สู้กลับในส่วนนี้ ว่า ทำไมไม่รอผลจากคณะกรรมการตามมาตรา 120 วรรค 4 แต่กลับมีคำสั่งให้ออกเลย

 

 

ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจ ณ ขณะนี้ สะท้อนภาพลักษณ์ของการเมืองไทย เพราะการเมืองคุมกลไกการบังคับใช้กฎหมายแบบ 100 % ตนยังไม่เคยเห็นนักการเมืองท่านใด ประกาศแน่วแน่ ว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะให้ตำรวจเป็นองค์กรอิสระที่สามารถบังคับใช้กฎหมาย โดยดำเนินการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง

 

ปัจจุบันมีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ซึ่งท่านรองฯ สุรเชษฐ์ ได้ยื่นเรื่องไว้แล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณา ว่า ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการเป็นไปตาม พรบ. ตำรวจแห่งชาติ ฉบับปัจจุบัน ความน่าสนใจอยู่ที่ความเห็น กตร. ว่าคำสั่งจะไปในทิศทางใด ตนมองว่าที่มีสามคำสั่งในหนึ่งวันเป็นอะไรที่ไม่ปกติ ใช้อำนาจได้ แต่ก็แปลกที่ตัดสินรวดเร็วเกินไป สุดท้ายนี้ตนอยากให้ท่านรองสุรเชษฐ์ ประกาศเลยว่า ท่านจะให้ความเป็นธรรมกับตำรวจและพี่น้องประชาชน และขอให้ท่านทำได้อย่างที่พูด ทั้งตำรวจและประชาชนจะให้กำลังใจท่านอย่างแน่นอน

 

ด้าน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า สุดท้ายแล้วเรื่องต้องโยนไปให้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ต้องแจงว่า อนุวินัย ทำหน้าที่เรื่องการบริหารงานบุคคลของตำรวจ เพราะฉะนั้นเขาจะพิจารณาว่า ผบ.ตร. มีอำนาจหรือไม่ ตามมาตรา 131 แต่ อนุวินัย ไม่มีหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์อุทธรณ์ ที่ตนไปยื่นคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เพราะคิดว่าตนถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งหน่วยงานนี้มีการสอบสวนและพิจารณาทั้งสองฝ่าย

 

 

โดยมี 3 กรณี

 

1. เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา

2. ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง

3. ถูกฟ้องคดีอาญา

 

ตนเข้าข่ายในข้อ 1 และ 2 ถ้าหากว่าผลที่ออกมาไม่เป็นคุณกับตน ตนสามารถใช้สิทธิ์ยื่นศาลปกครองสูงสุดได้ ตนต้องต่อสู้ตามกระบวนการ ถ้าผลจะเป็นอย่างไรตนก็พร้อมยอมรับ ที่ตนฟ้องท่าน วินัย ทองสอง โดยความเป็นจริงแล้วตนนั้นถูกออกหมายจับไม่ใช่เพราะตนทำผิด แต่ท่าน วินัย ทองสอง ทำการวินิจฉัยคดี ทำให้ประชาชนเชื่อว่าตนกระทำความผิด 

 

วันนี้กูรูบางท่านอาจจะเกษียณไปนาน จนไม่ได้อ่านกฎหมาย ยังไม่รู้ว่าตัวว่าตัวเองหมดสภาพแล้วและที่สำคัญคือ ท่านก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในชีวิต โดยตำรวจที่กระทำความผิด ต้องแจงว่า ตนต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย หลักการบังคับใช้กฎหมายต้องอยู่ในความเป็นธรรมและเสมอภาค เมื่อตำรวจกระทำความผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี วันนี้ถ้ารักกันก็ต้องเตือนกัน 

 

 

ถ้าตนมีโอกาสได้กลับมาทำหน้าที่ ต้องยอมรับว่าตำรวจในทุกวันนี้ ตำรวจขาดขวัญและกำลังใจ เรื่องสิทธิ์และสวัสดิการยังมีความไม่เป็นธรรม เงินเดือนตำรวจก็แทบจะไม่พอใช้ จะต้องแก้ไขในส่วนนี้ให้ได้ แน่นอนว่าการทุจริตอาจไม่ได้หมดไป แต่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยต้องเน้นไปที่ส่วนของโรงพัก ต้องทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในโรงพัก ต้องสอนลูกน้องให้เห็นว่าสุดท้ายมันก็เป็นหน้าที่ที่ตำรวจต้องทำ เมื่อไรที่ตำรวจทำงานประชาชนเขาจะรู้เอง ต้องหาความยุติธรรมไปยื่นให้ประชาชนถึงบ้าน