สีม่วงที่เราเห็นปรากฏอยู่บนธงสัญลักษณ์แห่งความหลากหลายทางเพศนั้น มิใช่เพียงสีธรรมดา ๆ แต่แฝงไปด้วยเรื่องราวอันยาวนานของการผจญภัยเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางเพศวิถี ตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
ที่มาของการเลือกใช้สีม่วงนั้น มีรากฐานมาจากการผสมผสานระหว่างสีชมพูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสตรีรักสตรี และสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบุรุษรักบุรุษ แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันและการยอมรับความหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ สีม่วงยังสื่อถึงอำนาจ ความภาคภูมิใจ และการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ
ย้อนไปในอดีต ก่อนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ สีม่วงนั้นนอกจากจะสื่อถึงความหรูหราและยิ่งใหญ่แล้ว ยังถือเป็นสีที่หายากและมีราคาแพง เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ยากลำบาก จึงกลายเป็นเครื่องหมายแทนชนชั้นสูงในสมัยนั้น เปรียบได้กับการต่อสู้อันยากลำบากของกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ที่ต้องเผชิญหน้ากับอคติและการเหยียดหยามจากสังคมส่วนใหญ่
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางเพศอย่างจริงจัง สีชมพูถูกนำมาใช้ในความหมายของต่อสู้กับลัทธิเหยียดเพศ (sexism) ด้วยเหตุผลว่า สีชมพูเป็นสีของป้ายผ้าที่ทหารนาซีเยอรมันใช้ติดเสื้อนักโทษที่เป็นกลุ่ม LGBTQ+ ในค่ายกักกันก่อนที่จะนำไปสังหารทิ้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อมา สีม่วงถูกนำมาใช้และแพร่หลายอย่างมากในยุค 1980 สีม่วงถูกนำมาใช้แทน จิตวิญญาณ (Spirit) ของกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งการใช้สีม่วงในช่วงนี้เองที่ทำให้คนทั่วไปรวมทั้งประเทศไทยเข้าใจว่าสีม่วงมีความหมายถึงกลุ่ม LGBTQ+ ก่อนศิลปินชื่อ กิลเบิร์ต เบคเกอร์ นำธงสีรุ้ง มาใช้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่ม LGBTQ+ ในปี 1978
ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น แปลกแยกจากกระแสหลัก สีม่วงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญที่จะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ปิดบังหรือซ่อนเร้นเพศวิถีของตน สีม่วงจึงเปรียบเสมือนเส้นทางสู่การปลดปล่อยวิญญาณแห่งอิสรภาพที่แท้จริง และเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจในความแตกต่างหลากหลาย
หากย้อนกลับไปในอดีต คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสีที่เคยเป็นสัญลักษณ์แทนชนชั้นสูงผู้มีอำนาจ จะกลายมาเป็นสีสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ผจญภัยเพื่อเสรีภาพของผู้ด้อยโอกาสทางเพศวิถีกลุ่มหนึ่ง แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้สีม่วงมีคุณค่าและมีความหมายอันลึกซึ้ง เป็นรากเหง้าแห่งเสรีภาพที่ปลุกกำลังใจให้กลุ่ม LGBTQ+ สานต่อการเดินทางอันแสนยาวนานเพื่อคว้าสิทธิเสรีภาพและการยอมรับจากสังคม