ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ยังหาไม่เจอ สำหรับเรือของกลางน้ำมันเถื่อน ที่หายไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ ซึ่งอยู่ในการดูแลรักษาของกลางของตำรวจน้ำสัตหีบ วันนี้รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางลงพื้นที่ และหากพบตำรวจมีส่วนรู้เห็นก็พร้อมเอาผิด และเชื่อว่ายังออกไปไม่ถึงกัมพูชา
ยังไม่เจอ เรือของกลางน้ำมันเถื่อนหาย 3 ลำ
เหตุการณ์เรือของกลางบรรทุกน้ำมันเถื่อนหายไป 3 ลำ พร้อมน้ำมันเถื่อน 330,000 ลิตร หลังถูกจับกุมได้พร้อมกัน 5 ลำ ตั้งแต่ 19 มีนาคม 67 โดยตำรวจปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. ตำรวจกองปราบ และตำรวจน้ำ จากนั้นมอบหมายให้สถานีตำรวจน้ำสัตหีบ นำไปรักษาของกลาง จอดเทียบท่าไว้ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ และพบว่าเรือหายไป 3 ลำ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 มิถุนายน หรือเมื่อวานนี้
เรือทั้ง 3 ลำ ประกอบด้วย เรือ เจ.พี. พร้อมน้ำมันเถื่อนประมาณ 80,000 ลิตร ลูกเรือ 7 คน เรือซีฮอต พร้อมน้ำมันเถื่อนประมาณ 150,000 ลิตร ลูกเรือ 6 คน และเรือดาวรุ่ง พร้อมน้ำมันเถื่อนประมาณ 100,000 ลิตร ลูกเรือ 5 คน โดยเป็นเครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้ ปัตตานี ซึ่งตอนนี้การค้นหาเรือยังไม่เจอ
บิ๊กเต่า ลั่นฟัน ม. 157 หากพบตำรวจมีเอี่ยวเรือหาย
ความคืบหน้าวันนี้ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พันตำรวจเอก อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ
พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ตั้งคณะกรรมการในการดำเนินคดีออกเป็น 3 ส่วน คือ การติดตามเรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง และในส่วนของลูกเรือ เชื่อว่าเรือที่หายไปทั้ง 3 ลำ ยังคงอยู่ในอ่าวไทย เนื่องจากเรือทั้ง 3 ลำ มีน้ำมันอยู่ด้วย ทำให้วิ่งได้ประมาณ 7-8 นอต ซึ่งจะต้องใช้เวลา 15 ชั่วโมง ในการวิ่งเรือจากพื้นที่เกิดเหตุ ไปประเทศเพื่อนบ้านที่มีระยะทาง 240 ไมล์ทะเล
ส่วนข้อสงสัยที่ว่า ทำไมเรือบรรทุกของกลางที่จอดด้วยกัน 5 ลำ จึงหายไปเพียง 3 ลำนั้น จากข้อมูลเชิงลึกพบว่า เรือทั้ง 3 ลำที่หายไป มีเจ้าของเรือเป็นผู้มีอิทธิพลน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ปัตตานี และเป็นเรือผิดกฎหมาย สำหรับลูกเรือที่จับได้ทั้งหมด 28 คนนั้น ตอนนี้หายไปกับเรือ 3 ลำ จำนวน 18 คน
พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ บอกว่าผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สั่งให้ดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง หากพบเจ้าหน้าที่มีส่วนรู้เห็นและปล่อยเรือออกไปหรือเกี่ยวข้อง จะโดนดำเนินคดีมาตรา 157 ทันที และเชื่อว่าวันเกิดเหตุ ไม่มีตำรวจอยู่ในเรือของกลาง โดยตอนนี้ได้ประสานทางการกัมพูชา ให้ช่วยติดตามหาเรือทั้ง 3 ลำแล้ว พร้อมเตรียมออกหมายจับลูกเรือที่หนีไป
ตำรวจน้ำ เผยเรือ 3 ลำที่หาย เป็นเจ้าของเดียวกัน
พันตำรวจเอก อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยว่า เรือ 3 ลำ ถูกยึดเป็นของกลางในคดี แต่ละลำมีทะเบียนเรือไม่ตรงกับข้อมูลเรือ บางลำไม่มีทะเบียนเรือ และจากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่าเรือ 3 ลำ ที่หายไปเป็นเจ้าของเดียวกัน ส่วนการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 5 ลำนั้น เพราะมีการขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลอันดามัน เพื่อจะเอาน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักร จึงมีการจับกุม
ส่วนการจัดเก็บของกลางตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดูแล และหากของกลางเป็นประเภทเรือของกลาง จะต้องให้ตำรวจน้ำในพื้นที่ดูแล
นายกฯ รับไม่ได้เรือหาย 3 ลำ
โดยนายกรัฐมนจรีได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า รัฐบาลไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้ และเชื่อว่าผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางรู้จักตนดีพอ และมีการคุยหลายเรื่องเกี่ยวกับของเถื่อน และทราบนโยบายดีว่า ไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้ ฉะนั้นจึงไม่ต้องกำชับกันเยอะ ทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว
ไทม์ไลน์เรือของกลางคดีน้ำมันเถื่อนหาย 3 ลำ
ช่วงเย็นเมื่อวานนี้ ตำรวจสอบสวนกลาง ชี้แจงว่า เรือของกลางที่หายไปทั้ง 3 ลำ เป็นเรือที่ตำรวจปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. ตำรวจกองปราบ และตำรวจน้ำ ร่วมกันจับกุมจำนวน 5 ลำ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 67 และมอบหมายให้ตำรวจน้ำสัตหีบ รักษาของกลางไว้ที่ท่าเทียบเรือสัตหีบ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมเป็นต้นมา วันที่ 9 มิถุนายน เกิดคลื่นลมแรง ทะเลมีคลื่นสูง จึงนำเรือทั้ง 5 ลำ ออกไปจอดทอดสมอห่างสะพานท่าเทียบเรือ 100 เมตร และก่อนเรือจะหาย 1 วัน ตำรวจที่เฝ้าเวรยาม ยังเห็นเรือทั้ง 5 ลำเปิดไฟ แต่ในช่วง 22.00 น. เรือทั้งหมดดับไฟ กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 12.06 น. เมื่อมีแสงสว่าง เวรยามในผลัดดังกล่าวพบว่าเรือยังจอดอยู่แค่ 2 ลำ หายไป 3 ลำ
เสี่ยโจ้ ปัตตานี เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน
สำหรับเสี่ยโจ้ ปัตตานี มีชื่อจริงว่า สหชัย เจียรเสริมสิน อายุ 56 ปี ตอนปี 55 เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามน้ำมันเถื่อน ได้ไปจับกุมเรือลักลอบขายน้ำมันเถื่อนที่สงขลา ได้ของกลางน้ำมัน 2,000 ลิตร เงินสด 48 ล้านบาท ขยายผลไปจับกุมเสี่ยโจ้ได้ ตรวจสอบพบเอกสารซื้อขายน้ำมันเถื่อนกว่า 10,000 ครั้ง รวม 400-500 ล้านลิตร และยังพบบัญชีจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ในบ้านพักของเสี่ยโจ้เอง
ปี 57 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ปิดล้อมค้นโรงไม้ของเสี่ยโจ้ พบว่าเสี่ยโจ้ใช้หนังสือเดินทางปลอมของประเทศเพื่อนบ้าน จึงถูกดำเนินคดีปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอม คดีนี้ทำให้เสี่ยโจ้ถูกศาลสั่งจำคุก 1 ปี 9 เดือน แต่เสี่ยโจ้หลบหนีออกจากที่คุมขังของศาล ระหว่างนั้น ปี 58 ตำรวจ ปอศ. เห็นว่าการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน จึงขอออกหมายจับเมื่อปี 64 และตำรวจกองปราบจับกุมได้หลังหนีกบดานย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ ในปี 64 แต่สุดท้ายอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ต้องปล่อยตัวเสี่ยโจ้เป็นการชั่วคราว และนั่นก็ทำให้เสี่ยโจ้หลบหนีไปอีกครั้ง ทั้งที่ตอนนั้นเขามีคดีอาญาติดตัวถึง 14 คดี และวันนี้ชื่อของเสี่ยโจ้กลับมาอีกครั้ง หลังเรือ 3 ลำที่หายไป ถูกโยงใยว่าเป็นเรือในเครือข่ายขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้
เด้ง ผกก.5 ตำรวจน้ำ พร้อมลูกน้องรวม 5 นาย
ล่าสุดมีคำสั่งจาก พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีคำสั่งให้ พันตำรวจเอก อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีก 4 นาย ย้ายไปช่วยราชการโดยให้ขาดจากต้นสังกัด มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 16.00-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35