เครื่องดื่มที่ครองใจคนไทยทุกเพศทุกวัยต้องยกให้ “ชาเย็น หรือ ชาไทย” เพราะนอกจากคนไทยที่ชื่นชอบแล้ว คนต่างชาติก็ถูกอกถูกใจจนคว้ารางวัล ‘เครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดในโลก’ อันดับที่ 5 ในหมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จากเว็บไซต์ Taste Atlas ซึ่งชาไทยมีรสชาติหวาน หอม มัน ทำให้ใครได้ลิ้มลองเป็นต้องติดใจ แต่รู้หรือไม่ว่าชาไทยที่เราต่างชอบดื่มมีที่มาที่ไปอย่างไร
ความจริงนั้นประเทศไทยดื่มชากันมานาน บ้างก็ว่าคนไทยรู้จักการดื่มชากันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ถ้าจะเอาหลักฐานแน่ชัด ก็ต้องยึดตามจดหมายเหตุลาลูแบร์ ที่บอกไว้ว่า
“คนไทยรู้จักการดื่มชาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช และที่ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการดื่มชาของไทยอาจจะแหวกแนวไปซักหน่อย คือ จะอมน้ำตาลกรวดไว้ในปากก่อน แล้วค่อยจิบชาร้อนตาม ”
แต่สภาพอากาศประเทศไทยมันร้อนการดื่มชาร้อนในสมัยนั้นจึงเป็นที่นิยมกันเฉพาะในงานราชการ หรือต้อนรับแขกมากกว่า ว่ากันว่าไทยได้รับอิทธิพลการดื่มชาใส่นม ใส่น้ำตาล มาจากประเทศอินเดีย เพราะในตอนนั้นไทยเราค้าขายเครื่องเทศกับอินเดียเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งปี 2436 บริษัทเนสท์เล่ ได้เปิดตัวนมข้นหวานยี่ห้อแรกในไทย ที่ชื่อว่า ‘นมข้นหวานแหม่มทูนหัว’ จึงทำให้การดื่มชาแบบใส่นม ใส่น้ำตาลเป็นที่แพร่หลายในไทยมากยิ่งขึ้น และในอีก 10 ปีต่อมา ไทยมีโรงงานน้ำแข็งเกิดขึ้นแห่งแรก สามารถผลิตน้ำแข็งกินได้เองแล้ว ประกอบกับในยุคนั้นเริ่มมีร้านกาแฟโบราณเกิดขึ้นในตัวพระนครอย่างแพร่หลาย จึงทำให้ชาเย็น หรือ ชาไทยเป็นที่นิยมมาก เรียกได้ว่าเป็นเมนูประจำที่ทุกร้านต้องมี
เดิมที ชาเย็น หรือ ชาไทย ไม่ได้มีสีส้มจากธรรมชาติ เพราะเมื่อก่อนชาเย็น หรือ ชาไทยจะใช้ชาซีลอนในการชง และสีของชาซีลอนนั้นเป็นสีเบจใกล้เคียงกับสีของกาแฟมาก จึงต้องใช้การผสมสีชาให้เข้มขึ้นด้วยสีผสมอาหาร ดอกโป๊ยกั๊ก หรือเครื่องเทศเข้าไปด้วยเพื่อให้ได้สีส้มที่สวยงาม ต่อมาเมื่อร้านชาตรามือได้เอาชาแดงหรือชาดำมาชงใส่นม น้ำตาลและน้ำแข็ง จึงกลายมาเป็นชาเย็น หรือ ชาไทยที่ใช้ใบชาแดงเป็นเบสในการชง
แต่ไม่ว่าเราจะเรียกด้วยชื่อไหนก็ตาม ต้องยอมรับเลยว่า ชาเย็นนี้ได้เป็นเครื่องดื่มดับร้อนที่เหล่าสาวกชาส้มโปรดปรานของแบบไม่สนแคลอรี่กันเลยทีเดียว