หนุ่มช้ำ เจอแฟนสาวสุดที่รัก ลักทอง ขายเกลี้ยงกว่า 57 บาท ใช้วิธีสับทอง แถมยังปลอมเอกสารหลอกขายทองที่ฝากไว้กับร้านทองอีกด้วย ช้ำ ตำรวจยังตามเงินไม่ได้ !?
วันที่ 29 พ.ค. 2567 อนุพงศ์ สังขศิริ (เน็ท) ผู้เสียหาย ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า ตนเองถูกแฟนสาวขโมยทองของครอบครัวไปกว่า 57 บาท มีทั้งทองคำแท่ง และทองรูปพรรณ โดยมีการเอาทองปลอมมาสับเปลี่ยน อีกทั้งยังแอบไปขายทองที่ตนฝากเอาไว้ที่ร้านทองอีกด้วย จนเกลี้ยงอีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวนั้นอาศัยความเป็นที่รักของครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวตายใจ
นายอนุพงศ์ เล่าต่อว่า ตนคบกับแฟนสาวมา 6 ปี โดยแฟนสาวของตนนั้น เป็นที่รักของครอบครัว จะช่วยเหลืองานการภายในบ้านตลอด และช่วง 3 เดือนหลัง ตนได้พาแฟนสาวเข้ามาอาศัยที่บ้าน ต่อมาวันที่ 2 พ.ค. 2567 ตนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ตนจึงนำทองที่เก็บไว้ในตู้ น้ำหนัก 27 บาท ออกไปจำนำ แต่พอถึงโรงจำนำ ทางโรงจำนำแจ้งว่าทองทั้งหมดเป็นของปลอม อีกทั้งยังมีทองคำแท่งที่ตนได้ฝากเอาไว้กับร้านทองแห่งหนึ่งจำนวน 30 บาท ก็ได้ถูกขายออกไปหมดเช่นกัน ตนจึงเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก จึงเอาเรื่องนี้กลับมาคุยกับครอบครัว แต่ทางครอบครัวไม่ได้มีพิรุธแต่อย่างใด จนตนมาฉุกคิดขึ้นได้ว่า เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2567 มีเงินโอนเงินเข้าบัญชีของตน 1.2 ล้านบาท ซึ่งแฟนสาวได้แสดงตัวว่าเป็นเงินของเธอ
โดยอ้างว่า เป็นเงินของพี่สาวของเขา ที่เพิ่งเลิกกับสามีและได้แบ่งมรดกกัน และพี่สาวได้เอาเงินรถแบ็กโฮที่ได้มาจากการแบ่งมรดกไปขาย พี่สาวไม่อยากเอาเงินเข้าบัญชีเพราะกลัวสามีเขารู้ ตนจึงรีบโอนเงินให้เขา แต่พอตนดูกลับพบว่าเงินที่โอนมาเข้าบัญชีตน มันเข้ามาจากร้านทอง แฟนสาวจึงอ้างว่า พี่สาวคงขายรถและเปลี่ยนเงินโดยซื้อทอง แล้วให้ร้านทองโอนเงินมาให้ เพื่อหลีกเลี่ยงสามีของเขา ตอนนั้นตนก็ไม่ได้ทันคิดว่ามีอะไรแปลกหรือไม่ มีแต่รีบโอนเงินคืนไปให้เขา เพราะกลัวเงินโดนดูดหาย แล้วตนจะไม่สามารถชดใช้ได้
จากนั้นตนมารู้ความจริง จากตอนที่ตนได้แอบเข้าไปดูใน Facebook ของแฟนสาว ซึ่งเขานั้นได้มีการติดต่อเพจขายทองปลอมต่าง ๆ และเขาได้มีการถ่ายภาพทองของตนไปถามหาลายที่เหมือนกันจากเพจต่าง ๆ แต่เมื่อทราบแบบนั้นแฟนสาวก็ยังยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอาไป และพร้อมที่จะยืนยันความบริสุทธิ์โดยยืนดีเข้ารับการตรวจสอบจากตำรวจ ตนจึงเดินทางไปแจ้งลงบันทึกประจำวันเอาไว้ก่อน
ต่อมาวันที่ 3 พ.ค. 2567 ตนได้เดินทางไปร้านทองที่ตนได้ฝากทองคำแท่งเอาไว้ 30 บาท เพื่อไปสอบถามว่าใครเป็นคนทำ ก็พบว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2567 ได้มีผู้หญิงที่เคยมาซื้อทองกับตน นั่นก็คือแฟนสาว มาทำธุรการการขายทอง 30 บาท ที่ฝากไว้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ให้กลับไปทำเอกสารมาใหม่ เพราะเอกสารไม่ครบ จากนั้นวันที่ 25 เมษายน 2567 ผู้หญิงคนเดิมได้นำบัตรประชาชนตัวจริงของตน สำเนาใบฝากทอง มีการปลอมลายเซ็นโดยเขียนทับด้วยปากกาสีน้ำเงิน และหนังสือมอบอำนาจ และอ้างว่าตนเกิดอุบัติเหตุ นอนอยู่โรงพยาบาล ไม่สามารถมาขายทองด้วยตนเองได้ ทางโรงจำนำจึงจ่ายเช็คเงินสดเข้าบัญชีตนไป พอตนรู้อย่างนี้ตนถึงกับร้องไห้ทันที
ทว่าพอตนกลับมาบ้าน แฟนสาวก็ไม่อยู่ที่บ้านแล้ว ได้ขนของกลับห้องของเขาไปแล้ว โดยอ้างว่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ตนจึงได้นัดเขาวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ ให้ไปพบกันที่ สน.ประชาชื่น เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ พอถึงวันนัดหมายแฟนสาวได้เดินทางมาตามนัด และตำรวจได้สอบปากคำ โดยทางผู้ต้องหาได้ปฏิเสธว่าไม่ได้นำทองไป แต่ตำรวจได้มีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดชัดเจนแล้ว จึงควบคุมตัวแฟนสาวไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา แต่ที่นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่ตนอยากทราบคือ ร้านทองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ เพราะ ในสัญญาการซื้อขายทองนั้นได้ระบุกันไว้ว่า ถ้าตนไม่ได้มาทำธุรการเอง ก็ไม่มีใครสามารถมาทำได้ หรือถ้าคนอื่นจะทำได้ จะต้องมีใบมรณะของตนมายื่นเท่านั้น แต่กลับเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ร้านทองประมาทหรือไม่
สำหรับคดีนี้ตอนนี้ พนักงานสอบสวนว่าตอนนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าถูกโอนไปให้ใครบ้าง ที่ทำคดีล่าช้าเพราะต้องรอเอกสารจากธนาคารส่งมา หากพบว่าผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินคดีทุกคน ส่วนเรื่องว่านำทองไปเก็บไว้ไหน ทางผู้ต้องหาไม่ยอมปริปากพูด อ้างว่าจำไม่ได้อย่างเดียว แต่ยอมรับสารภาพว่าได้นำทอง 30 บาท ไปขายจริง แต่อ้างว่าแม่ของแฟนเป็นคนสั่งให้เอาไปขาย แต่ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาแต่อย่างใด หลังจากนี้จะเรียกผู้เสียหายเข้ามาสอบปากคำเพิ่ม
ด้าน เอ (นามสมมติ) น้าของผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า วันนี้ (30 พ.ค. 2567) หลานสาวของตนได้รับการประกันตัวแล้ว ส่วนเรื่องคดีตนต้องขอคุยกับหลานสาวก่อน เพราะตนเพิ่งทราบเรื่องว่าเขาโดนจับ ซึ่งเท่าที่ตนรู้จากตัวของแม่หลานสาวนั้น เขาบอกว่า ตัวของหลานนั้นโดนหลอก โดยการกระทำทั้งหมด เขาถูกแม่ของเน็ท ใช้ให้ดำเนินการทั้งหมด แต่กลับโดนหลอก และบอกอีกว่า "หนูถูกหักหลังแม่ มันระยำ"
ฟาก โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย กล่าวว่า ไม่มีการกระทำคววามผิดใด ๆ ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ คดีอุกฉกรรจ์ที่ไม่เคยมีพยาน หลักฐาน ตำรวจเขาก็ใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบได้ เคสนี้ มีการปลอมลายเซ็นที่ร้านทองด้วย ตำรวจก็สามารถตรวจสอบได้ว่าเอกสารที่ใช้ดำเนินการนั้นปลอมจริงหรือไม่ ตนเชื่อว่ากล้องวงจรปิดก็มี ส่วนเรื่องที่ผู้ถูกกล่าวหา เขากล่าวหาที่คุณแม่ของคุณเน็ท ว่าเป็นผู้สั่ง เขาก็สามารถตรวจสอบได้จากเส้นทางการเงิน ว่าคุณแม่มีเอี่ยวหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีใครใช้ให้เราทำผิดกฎหมาย แล้วเราทำ เราจะต้องเป็นคนที่จะเดือดร้อน โดนจับเป็นคนแรก และถึงจะพิสูจน์ว่าคนใช้เราใช้จริงหรือไม่ ซึ่งถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราไม่มั่นใจว่าเรื่องที่เราจะทำนั้นผิดหรือไม่ สามารถติดต่อสายด่วนอัยการ 1157 เขาจะให้คำปรึกษาด้านกฎหมายฟรี
ส่วนกรณีของร้านทองนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 กล่าวว่า "ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น" ดังนั้นต้องมาพิจารณาจากสัญญาที่ฝากทองว่ากำหนดไว้อย่างไร โดยสามารถเชิญทั้งสองฝ่ายที่พิพาทกัน มาตกลงประณีประนอมกัน ถ้าตกลงไม่ได้ถึงจะเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีทางแพ่ง
ติดตาม รายการ “ถกไม่เถียง” ดำเนินรายการโดย “ทิน โชคกมลกิจ” ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 17.30-18.00 น. และทุกวันเสาร์ - วันอาทิตย์ พบกับ รายการ “ถกไม่เถียง Weekend” เวลา 17.30-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35