logo เงินทองของจริง

ทำความรู้จักเทคนิคการลงทุน Top Down หรือ Bottom Up | เงินทองของจริง

เงินทองของจริง : สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่กำลังสนใจลงทุนหุ้น แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร และต้องดูอะไรประกอบตัดสินใจบ้าง ? ch7hd news,tero digital,ch7hdnews,terodigital,เงินทองของจริง,moneycoach,money coach,โคชหนุ่ม จักรพงษ์,โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์,โค้ชหนุ่ม,กาย สวิตต์,เศรษฐกิจ,การเงิน,การลงทุน,การออม,ออมเงิน,เก็บเงิน,สอนลงทุน,สอนออมเงิน,สอนเก็บเงิน

11,351 ครั้ง
|
24 พ.ค. 2567
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่กำลังสนใจลงทุนหุ้น แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร และต้องดูอะไรประกอบตัดสินใจบ้าง ?
 
การ ลงทุนหุ้น นั้น เบื้องต้นสามารถเลือกวิธีคิดได้ 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้ 
 
วิธี Top-Down
วิธีนี้เริ่มต้นควรจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 
 
1. เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มอย่างไร โดยพิจารณาจาก GDP โลกและประเทศคู่ค้าของไทยด้วยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งหากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจคู่ค้าของไทยจะหดตัว อาจส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยด้วย เพราะไทยเป็นประเทศส่งออกหลักทั้งสินค้าเกษตร, สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม, ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งจะส่งผลต่อการนำเข้า-ส่งออกด้วย และต้องพิจารณาเศรษฐกิจไทยด้วยว่าจะเป็นเช่นใด ซึ่งส่วนใหญ่จะล้อตามเศรษฐกิจโลก แต่จะต้องพิจารณาถึงนโยบายจากภาครัฐว่าจะเอื้อต่ออุตสาหกรรมใด, การเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี เป็นต้น
2. อุตสาหกรรมใดจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกและไทย โดยการวิเคราะห์อุตสาหกรรมนั้น เราอาจนำ Five Force Model มาร่วมพิจารณาด้วยว่า อุตสาหกรรมที่เราจะนำมาพิจารณานั้นอำนาจต่อรองของลูกค้า และ supplier เป็นอย่างไร, การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่, การแข่งขันในอุตสาหกรรม และสินค้าทดแทนว่าบริษัทของเรามีจุดอ่อนและจุดแข็งหากเทียบกับคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศไหม
3. เลือกบริษัทที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยข้างต้น  
 
วิธี Bottom-Up
วิธีนี้จะใช้คัดเลือกบริษัทที่ควร ลงทุนหุ้น โดยวิเคราะห์จากปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลข เช่น วิสัยทัศน์ผู้บริหาร, ตัวบริษัท และลักษณะผลิตภัณฑ์ เป็นต้น 
2. ข้อมูลเชิงปริมาณ คือการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข เช่น งบการเงินซึ่งประกอบด้วยงบดุล, งบกำไรขาดทุนและงบกระแสเงินสดของบริษัท และอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทว่าเป็นอย่างไร
- อัตราส่วนสภาพคล่อง : เป็นการวัดสภาพคล่องการดำเนินกิจการ ถ้าค่าสูง แปลว่ามีสภาพคล่องเพียงพอ 
- ความสามารถในการดำเนินงาน : เป็นอัตราส่วนแสดงถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ประกอบด้วยการบริหารลูกหนี้, สินค้าคงคลัง และเจ้าหนี้
- ความสามารถในการทำกำไร : เป็นการวัดการทำกำไรของบริษัท ยิ่งสูงยิ่งแสดงว่าแนวโน้มกำไรดีขึ้น 
- อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ : เป็นอัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย
 
เมื่อได้หุ้นที่จะลงทุนแล้ว การประเมินมูลค่าของหุ้นต้องทำอย่างไร ?
 
หลังจากได้หุ้นที่สนใจแล้ว จะมาประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสำหรับหุ้นนั้น ๆ ซึ่งการจะเลือกประเมินมูลค่าวิธีใดนั้น ควรจะพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
 
1. ความสม่ำเสมอของกำไรที่มีความแน่นอน เช่น โรงไฟฟ้า, สื่อสาร, โรงพยาบาล, ธุรกิจที่เป็นสัมปทานจะใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) เนื่องจากมีกระแสเงินสดเข้ามาสม่ำเสมอ
2. รายได้และกำไรที่ผันผวนตามวัฏจักรธุรกิจอาจเลือกใช้วิธี P/E หรือ P/B อาจเหมาะสมกว่า
3. กระแสเงินสดที่เป็นเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคตจะประเมินด้วยวิธี DDM 
4. มูลค่ากิจการเทียบกับกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมราคา หรือ EV/EBITDA ถ้าน้อยแปลว่าราคาหุ้นอยู่ในโซนถูก
5. Sum of the Part คือการประเมินมูลค่าธุรกิจแต่ละกิจการที่บริษัทถืออยู่และรวมมาเป็นราคาเหมาะสมของหุ้นแม่ 
 
อย่างไรก็ตาม การประเมิน ราคาหุ้น ในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น ไม่จำเป็นที่ต้องให้ P/E, P/BV ที่เท่ากัน เนื่องจากโครงสร้างการดำเนินงาน, ความสามารถในการกำไรที่ต่างกัน, อัตราการเติบโตที่ต่างกัน, หนี้สินที่ต่างกัน จึงทำให้หุ้นแต่ละตัวจะมีระดับ P/E หรือ P/BV เหมาะสมที่แตกต่างกันตามความสามารถ
 
พบกับ "โคชหนุ่ม" และ "กาย สวิตต์" ได้ใน "เงินทองของจริง" ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.05-9.15 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และช่องทางออนไลน์ TERO Digital
 
รับชมผ่าน YouTube ได้ที่ https://youtu.be/S0O1EVa7-3o
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง