แจ้งเอาผิดนิติฯ บุกรื้อพังร้านไล่พ่อค้า-แม่ค้า จ.ปทุมธานี | เช้านี้ที่หมอชิต

เช้านี้ที่หมอชิต - ไปติดตามกรณีชายฉกรรจ์นำรถแบ็กโฮ ไล่พังร้านค้าริมถนน จนต่อมาทราบว่านิติบุคคลที่ดูแลพื้นที่ ต้องการไล่ร้านค้าออกจากที่ดินบริเวณนั้น ล่าสุดชาวบ้านรวมตัวกันไปแจ้งความเอาผิดนิติบุคคลแล้ว งานนี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่าคล้ายกับคดีรื้อบาร์เบียร์ที่สุขุมวิทซอย 10 เมื่อปี 2546 หรือไม่ เพราะสุดท้ายอาจจบที่คุกสถานเดียว    

 

เหตุการณ์รื้อร้านค้าชาวบ้าน เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา บริเวณริมถนนพหลโยธินขาเข้า ใกล้โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ล่าสุดผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เกิดเหตุ พบร้านถูกรื้อถอนไปแล้วหลายร้าน

 

นางศรีรัตน์ ทองเพ็ชร์ แม่ค้า เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มีกลุ่มคนอ้างว่าเป็นนิติบุคคลดูแลสถานที่แห่งนี้ นำหนังสือจัดตั้งนิติบุคคลมาแสดง ก่อนสั่งพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่บริเวณนี้ ย้ายออกจากที่ดินแห่งนี้ภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 พวกตนจึงแปลกใจว่า ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมีนิติบุคคลมาไล่ เพราะพวกตนขายของอยู่ที่นี่มาเกือบ 30 ปีแล้ว ช่วงแรกก็จะจ่ายค่าเช่าที่ดินกับเจ้าของที่โดยตรง โดยไม่เคยมีนิติบุคคล ตนจึงขอดูใบซื้อขายที่ดินตรงนี้กับเจ้าของที่ดิน แต่ทางนิติบุคคลก็ไม่มี มีเพียงใบจัดตั้งนิติบุคคลมาแสดง พร้อมสั่งให้พวกตนเองย้ายออกอย่างเดียว แต่พวกตนไม่ยอมออก จะออกก็ต่อเมื่อมีคำสั่งศาลเท่านั้น พวกตนจึงรวมตัวกันขอความช่วยเหลือกับหน่วยงานรัฐหลาย ๆ หน่วยงาน แต่ยังไม่ได้คำตอบ จนกระทั่งเมื่อเย็นวานนี้ มีรถแบ็กโฮเข้ามารื้อถอนร้านค้าจนเหลือแต่เศษปูน

 

โดยมีทนาย 2 คน เข้ามายืนคุมสถานการณ์ พร้อมท้าว่าให้ไปแจ้งความดำเนินคดีได้เลย พวกตนเองทำตามกฎหมายทุกอย่าง พวกตนเป็นทนาย ถ้าไม่มีหลักฐาน คงไม่กล้าทำแบบนี้

 

แต่ก่อนหน้านี้ นิติบุคคลชุดนี้ได้ทำการปิดทางเข้า-ออกชุมชนที่อยู่ริมคลอง ที่ใช้เข้า-ออกมากกว่า 43 ปี ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 371 ครัวเรือน ได้พากันออกมาประท้วง โดยตอนนั้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ได้ลงพื้นที่มาช่วยเจรจาให้มาเปิดทาง นิติบุคคลชุดนี้จึงยอมเปิดทางให้ แต่ครั้งนี้กลับมาไล่รื้อถอนร้านทันที ทั้งที่มีลูกค้ากำลังนั่งกินอยู่หลายคน ต้องพากันวิ่งหนีออกมา เพราะกลัวร้านจะถล่มลงมาใส่ ตอนเกิดเหตุมีเจ้าที่จากเทศบาล เจ้าที่เทศกิจ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ มายืนดูสถานการณ์ด้วย แต่กลับไม่ยอมเข้าห้ามรื้อถอน ได้แต่มายืนดูสถานการณ์ ตอนนี้มีร้านค้าถูกรื้อถอนไปทั้งหมดประมาณ 34 ร้าน ซึ่งล่าสุดพ่อค้าแม่ค้าได้รวมตัวกันไปแจ้งความไว้ที่ สภ.คูคต แล้ว

 

ล่าสุดเมื่อวานนี้ รายการถกไม่เถียง เชิญพ่อค้าแม่ค้าผู้เสียหายมาร่วมรายการ ซึ่งก็เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า จุดนั้นเป็นตลาดเช้าและเย็น จริง ๆ มีผู้ค้าที่ย้ายออกไปก่อนหน้านี้ เพราะโดนทางนิติบุคคลเข้ามาข่มขู่ ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

 

ส่วนเหตุการณ์ล่าสุดที่เข้ามาไล่รื้อ อ้างว่าเพื่อเคลียร์ถนน จะจัดตั้งเป็นโครงการตลาด และสาธารณูปโภคใหม่ เพราะมีน้ำท่วมขัง แต่ผู้ค้าส่วนใหญ่อยู่กันมานานหลายสิบปี บางคนอยู่มาแต่รุ่นแม่ แต่จู่ ๆ มีการจัดตั้งนิติบุคคล พิมพ์กระดาษที่ชาวบ้านบอกว่าเป็นเอกสารตอนกลางคืน เข้ามาวางในร้านในเวลากลางคืน แจ้งให้พ่อค้าแม่ค้าย้ายออก เมื่อเข้าไปพูดคุยต่อรองขอพื้นที่ค้าขาย เพราะคนเก่าแก่หลายคนไม่รู้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน ต่อรองขอให้มีการจัดการ จะเรียกเก็บค่าเช่าก็ยอม ต่อมาทางนิติบุคคลส่งทนายมาเจรจา ขอให้ลงชื่อคนที่จะมาร่วมขายในพื้นที่จัดสรร แต่หลังลงชื่อ ทนายก็หายไป โทษว่าพ่อค้าแม่ค้าไม่ยอมลงชื่อ

 

ทางพ่อค้าแม่ค้า บอกว่า ไม่รู้ว่านิติบุคคลตั้งขึ้นได้อย่างไร ซึ่งทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ก็ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวซึ่งตั้งคาบเกี่ยวกับแนวเสาไฟฟ้า และไม่มีการฟ้องขับไล่มาก่อน จึงสงสัยว่าอาจจะคล้ายกับกรณี รื้อบาร์เบียร์ เมื่อปี 2546 ที่ถือเป็นวิบากกรรมของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ในเวลาต่อมา เพราะหากทางนิติบุคคลจะทำการรื้อถอน ต้องมีคำสั่งศาลเท่านั้น งานนี้จึงมีโอกาสคุกสถานเดียว

 

ชาวบ้าน บอกว่า นอกจากเข้ามารื้อถอนร้านค้า หลายเดือนก่อนหน้านี้ นิติบุคคลได้เข้ามาดำเนินการตัดน้ำตัดไฟของพ่อค้าแม่ค้าไปก่อนแล้ว ต้องทำมาค้าขายกันแบบไม่มีน้ำและไฟ ต้องขนน้ำกันมาจากบ้าน โดยอ้างว่าชาวบ้านบุกรุกที่ดินของแขวงการทาง 

 

ซึ่งในข้อสังเกตของทนายสงกานต์ ที่พบเห็นความผิดปกติของการเข้ามาดำเนินการรื้อถอนของทางนิติบุคคล และคำบอกเล่าของพ่อค้าแม่ค้า เชื่อว่าที่แห่งนี้เป็นของแขวงการทาง แต่สงสัยว่ามีใครไปรับผลประโยชน์ใด ๆ หรือไม่ เพราะที่ติดถนน จะออกโฉนดเป็นไปไม่ได้ จึงแนะนำให้ชาวบ้านไปร้องทางกองปราบปราม ต่อไป

 

ส่วนทางฝั่งนิติบุคคล ทางรายการถกไม่เถียง ได้ติดต่อไป ก็แจ้งว่าเมื่อวานนี้ยังไม่สะดวก แต่วันนี้ (8 มี.ค.) จะมีการแถลงข่าวในเวลาประมาณ 14.00 น. ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป