“พิธา” กลับเข้ารัฐสภาวันแรก รับเสียดายพลาดโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี | ข่าวเย็นประเด็นร้อน

360 ครั้ง

25 ม.ค. 2567

แชร์ข่าวไปที่

ข่าวเย็นประเด็นร้อน - พิธา สวมเนกไทสีฟ้า กลับเข้ารัฐสภาครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ยอมรับเสียดายพลาดโอกาสเป็นนายกฯ แต่ไม่มีความคิดดำเนินคดี เรืองไกร

พิธา กลับเข้ารัฐสภาวันแรก เสียดายพลาดโอกาสเป็นนายกฯ

ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า การถือครองหุ้นไอทีวี ไม่ได้ทำให้สมาชิกภาพ สส. ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงนั้น ล่าสุด เมื่อเวลา 10.35 น.ที่ผ่านมา นายพิธา สวมชุดสูท เนกไทสีฟ้า ลายจุดสีขาว เดินทางกลับเข้ารัฐสภาครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

นายพิธา กล่าวถึงก้าวแรกในรัฐสภาอีกครั้งว่า รู้สึกเหมือนไออุ่นที่คุ้นเคย ส่วนเนกไทที่สวมใส่ไม่ได้เป็นกิมมิกอะไร แต่เมื่อเช้ามองซ้ายมองขวาแล้วจำได้ว่า ตอนที่เราชูกำปั้นออกมาก็ใส่เนกไทเส้นนี้ จึงนึกสนุกหยิบมาใส่อีก เพราะออกไปแบบไหน ก็กลับมาแบบนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกเสียดายเวลา 6 เดือน ที่หายไปหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เสียดายที่ไม่มีโอกาสในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ที่ไม่มีใครบอกได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรือถ้ามีครั้งที่ 2 แล้วดีขึ้น จะกลายเป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ แต่ได้ใช้เวลา 6 เดือน ในการพบปะพี่น้องประชาชน และจะนำข้อมูลจากการประชุมผู้นำท้องถิ่นมาอภิปรายในวันพรุ่งนี้ (26 ม.ค.) เช่น ปัญหาขยะล้นเมือง และการจัดการขยะ พื้นที่สมุทรปราการ และ ภูเก็ต ในญัติติของพรรคภูมิใจไทย

ขณะเดียวกัน ในวันพรุ่งนี้ จะมีการแถลงแผนงานของพรรคก้าวไกล ว่าเป้าหมายและการทำงานในเชิงปฏิบัติในปีนี้คืออะไร ส่วนจะดำเนินคดี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นผู้ร้องคดีถือหุ้นสื่อหรือไม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ขอใส่ใจกับปัจจุบัน

ถามว่าจะกลับไปเป็นหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า กรณีหัวหน้าพรรคต้องเป็นไปตามกระบวนการ คือ การประชุมวิสามัญของพรรคช่วงเดือนเมษายน แต่ขอยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ยึดติดตำแหน่ง และ นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ ก็ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคได้ดี

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังถามว่า มีข้อควรระวังอะไรฝากถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า ขอยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง และไม่ได้ค้านทุกเรื่อง แต่ค้านเฉพาะสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือค้านเพื่อแนะนำ เบื้องต้น สังเกตเห็นว่าโครงการเรือธงของรัฐบาลมี 3 โครงการ คือ ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการแลนด์บริดจ์ และ ซอฟต์พาวเวอร์ โดยมีหลายเรื่องที่เห็นตรงกัน แต่บางเรื่องต้องมีการพูดคุยกันเป็นพิเศษ อย่างกรณี ดิจิทัลวอลเล็ต มองว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการใช้งบประมาณระยะยาว จะทำให้ไม่มีพื้นที่การคลังในการแก้ปัญหาระยะยาว จึงอยากจะชวนรัฐบาลให้คิดว่าจะมีแผนสองหรือไม่ ส่วนกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีนโยบายแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล มีความรู้สึกเหมือนตอนคดีไอทีวี โดยเราแยกแยะได้ว่า อะไรควบคุมได้ หรือไม่ได้

ช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวถามว่า จะออกจากสภาอีกหรือไม่ นายพิธา หันมาพูดสั้น ๆ ด้วยรอยยิ้มว่า ออกอีก จะออกไปทำเนียบ

ภูมิธรรม ยินดี พิธา กลับมาทำหน้าที่ สส.

ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวแสดงความยินดีที่ นายพิธา กลับมาทำหน้าที่ สส. อีกครั้ง ส่วนรัฐบาลไม่มีผลกระทบอะไร เพราะเป็นการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีผลผูกพันทุกองค์กร และปัจจุบัน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ ถ้าไม่มีอะไรกระตุ้นให้เศรษฐกิจแรงขึ้น เกรงว่าวิกฤตเศรษฐกิจข้างหน้าจะกลับมา

จี้เอาผิด เรืองไกร ปมแจ้งความเท็จหุ้นสื่อ

ด้าน นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความชื่อดัง ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดคดีหุ้นสื่อไอทีวี ที่เคยแจ้งความไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 ให้ดำเนินคดี นายคิมห์ ประธานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ร้องเรียนนายพิธา เนื่องจากมองว่าเข้าข่ายแจ้งความเท็จ ปลอมเอกสาร เพราะขัดแย้งคลิปวิดีโอการประชุมที่ถูกนำมาเสนอผ่านสื่อมวลชน

นายรัชพล กล่าวว่า แม้ นายพิธา จะไม่ฟ้องกลับ ทั้งที่มีสิทธิ์ฟ้องร้องและเรียกค่าเสียหาย เพราะหลายสิ่งมีพิรุธ แต่ส่วนตนเองยืนยันว่า จะยังคงติดตามความคืบหน้าคดีต่อไป

ไอทีวี ชนะคดีข้อพิพาท ไม่ต้องจ่าย 2.8 พันล้านบาท

คดีความระหว่างบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) และ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ล่าสุด บริษัทไอทีวี ออกหนังสือชี้แจงผู้ถือหุ้น ระบุบางช่วงว่า กรณี ไอทีวี ยื่นข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เพื่อให้พิจารณาว่า การบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงาน และดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ UHF ในวันที่ 7 มกราคม 2550 ของ สปน. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

โดยศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่ได้พิพากษายกคำร้องของ สปน. ด้วยเหตุว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว มีผลให้คดีนี้ถึงที่สุด โดยบริษัท และ สปน. ต่างไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกันอีก รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,890,345,205.48 บาท

ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 16.00-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35