“แม่แตงโม” เมินแจ้งความ “ชัยวัฒน์” ปมแฉสัมพันธ์บอดีการ์ด | ข่าวเย็นประเด็นร้อน

ข่าวเย็นประเด็นร้อน - คุณแม่แตงโม เคลียร์สถานะ บอดีการ์ดช้าง เป็นแค่คนคุย รับว่าอยู่คอนโดฯ ด้วยกัน แต่แยกห้องนอน ไม่มีอะไรลึกซึ้ง ส่วนที่ นายชัยวัฒน์ ออกมาแฉ เพราะหึงหวงคุณแม่ แต่ไม่คิดแจ้งความ เพราะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

 

แม่แตงโม เมินแจ้งความ ชัยวัฒน์ ปมแฉสัมพันธ์บอดีการ์ด

 

กรณี นายชัยวัฒน์ โลมากุล อดีตที่ปรึกษาทางกฎหมายของคดีการเสียชีวิตของแตงโม ออกมาแฉถึงความสัมพันธ์ของคุณแม่ภนิดา กับ บอดี้การ์ดช้าง

 

ต่อมา คุณแม่ออกมาโต้ทันควัน  บอกว่า นายช้าง เคยเป็นคนขับรถของตน จากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นเลขาฯ ส่วนตัว ดูแลเรื่องเอกสาร และคอยรับโทรศัพท์ ส่วนเงิน 20,000 บาท ที่จ่ายให้ทุกเดือน เป็นเงินเดือนเท่านั้น เป็นการทำงานร่วมกันโดยไม่มีสัญญาจ้าง ยอมรับว่า พักอยู่คอนโดฯ เดียวกัน แต่นอนแยกกันคนละห้อง ความสัมพันธ์ขณะนี้ยังไม่ใช่แฟน เป็นเพียงคนคุย พร้อมยืนยันด้วยว่า ระหว่างทั้ง 2 ยังไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น เพราะตอนนี้คุณแม่อายุ 67 ปี ส่วน นายช้าง อายุ 62 ปี ซึ่งมองว่าอายุปูนนี้แล้ว จะไปทำอะไรกันได้ ส่วนสาเหตุที่มีประเด็นนี้เกิดขึ้น เพราะ นายชัยวัฒน์ แอบชอบคุณแม่ และหึงหวง เพราะที่ผ่านมาแม่สังเกตว่า นายชัยวัฒน์ ชอบโทรศัพท์มาหาแม่ทุกวัน คุยนาน ๆ ถึง 2 ชั่วโมง

 

แต่งตั้ง ทนายเดชา เป็นทนายของคุณแม่แตงโม

 

ด้าน ทนายเดชา กิติวิทยานันท์ เปิดเผยถึงขั้นตอนหลังประกาศรับทำคดีให้คุณแม่ภนิดา โดยระบุว่า สิ่งที่ต้องทำวันนี้คือ ต้องไปยื่นขอถอนทนายความชุดของนายชัยวัฒน์ออก โดยทำคำร้อง และแม่ภนิดาลงนามเรียบร้อยแล้ว และจากนั้นจะแต่งตั้งทนายความคนใหม่เข้าไป รับผิดชอบคดีที่ฟ้อง กระติก, แซน, จ็อบ และจำเลยอีก 1 คน ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งจะมีการขอคัดถ่ายเอกสารคำฟ้องต่าง ๆ ในสำนวน ซึ่งศาลจะนัดพิจารณาคดีวันที่ 23 มกราคมนี้ โดยมีการสอบพยานไปแล้วประมาณ 30 ปาก ยังเหลืออีกประมาณ 20 ปาก

 

พร้อมยืนยันว่า แม่แตงโม แต่งตั้งตนเองเป็นทนายความแล้ว ส่วนเรื่องสัญญาว่าจ้างทนายและค่าตอบแทน ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน แต่โดยทั่วไปคดีลักษณะนี้จะมีค่าจ้างทนายตั้งแต่ 100,000 - 1 ล้านบาท อย่างไรก็ตามส่วนตัวยืนยันว่าจะไม่มีการเรียกร้องเงิน 30 จากยอดเงินเยียวยาเหมือนทนายชุดเก่า

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การรับทำคดีครั้งนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ลงตัวหรือไม่ ทนายเดชา ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ แต่เพราะตนเองเห็นใจคุณแม่แตงโมที่ถูกหลายคนรุมกระทำ และก็ไม่หวั่นว่าจะถูกฉีกสัญญาเลิกจ้างแต่อย่างใด ส่วนคดียักยอกทรัพย์ ก็รับเป็นทนายความเช่นกัน ซึ่งจะมีการขอให้ตำรวจออกหมายเรียก ปอ และ โรเบิร์ต มาเป็นพยาน เรื่องสาเหตุการโอนเงิน ซึ่งสอดคล้องกับที่แม่แตงโมเล่าให้ฟัง และเรียก นายชัยวัฒน์ มาสอบปากคำ โดยยืนยันว่าคดีนี้มีหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะคลิปวิดีโอตอนทำสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งที่ผ่านมาได้คุยกับ นายชัยวัฒน์ แค่เพียงในรายการ แต่ นายชัยวัฒน์ ยังไม่รับสารภาพว่ายักยอกเงิน อ้างแต่ว่า แม่แตงโม เป็นลูกหนี้ ส่วนสัญญาว่าจ้าง นายชัยวัฒน์ เป็นที่ปรึกษาจัดหาทนายความให้ และจะได้ค่าตอบแทนเป็นส่วนแบ่งจากเงินเยียวยา 30 นั้น สัญญาดังกล่าวถือเป็นสัญญาค้าความ เพราะการที่ไม่ใช่ทนายความ แต่รับจ้างจัดหาทนายความให้ และนำเงินมาแบ่งกันนั้น ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่สามารถกระทำได้

 

ส่วนเรื่องที่ นายชัยวัฒน์ กล่าวหาว่า แม่แตงโม มีความสัมพันธ์กับ นายช้าง บอดีการ์ด นั้น ทนายเดชา ยืนยันว่า นายชัยวัฒน์ ผิดข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาฯ ซึ่งหาก แม่แตงโม และ นายช้าง รู้สึกว่าได้รับความเสียหาย ก็สามารถเข้าแจ้งคงามดำเนินคดีได้ภายใน 3 เดือน รวมถึง นายชัยวัฒน์ ควรออกมาขอโทษ ส่วนผิดจริยธรรมทนายความหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ทนายความ จึงไม่ผิด

 

นอกจากนี้ ทนายเดชา ได้โฟนอินหา แม่แตงโม เพื่อให้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามประเด็นดังกล่าว ซึ่งแม่ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่มีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า นายชัยวัฒน์ ทำไป น่าจะเพราะหึงหวง เพราะก่อนหน้านี้ นายชัยวัฒน์ พูดคุยสนิทสนม และพูดว่า คุณแม่สวย รักและเคารพ และก่อนหน้านี้ก็ทราบว่า นายชัยวัฒน์ มีภรรยาถึง 3 คน และ คุณแม่แตงโม ยังอธิบายถึงคืนวันที่ไปรับประทานอาหารที่ร้านร่วมกับ นายชัยวัฒน์ และ นายช้าง ว่า แม่นั่งติดกับนายช้างจริง แต่ยืนยันไม่ได้มีการจุ๊บกันแน่นอน เพราะคนอยู่กันจำนวนมาก ส่วนภาพที่ออกมาคาดว่าเป็นคนในห้องอาหารแอบถ่ายไว้ ซึ่ง ทนายเดชา ยังได้ส่งภาพที่เป็นข่าวให้แม่แตงโมดู เมื่อคุณแม่เห็นภาพแล้ว จึงยอมรับว่า ชายในภาพคือ นายช้าง ที่กำลังจุ๊บแม่ แต่จำไม่ได้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร และเป็นการจุ๊บแก้ม ไม่ใช่จุ๊บปาก ซึ่งมองว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย ส่วนเรื่องการแจ้งความกลับ นายชัยวัฒน์ คุณแม่ยืนยันว่าทั้งตนเอง และ นายช้าง จะไม่มีการแจ้งความ เพราะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ