ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ศาลพิพากษา จำคุก ลุงพล 20 ปี ผิด 2 ข้อหา ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และฐานพรากเด็กไปจากบิดามารดา ส่วน ป้าแต๋น ศาลยกฟ้อง
ศาลสั่งจำคุก 20 ปี ลุงพล คดีการตาย น้องชมพู่ จ.มุกดาหาร
เมื่อเวลา 10.00 น. นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น จำเลยในคดีฆ่าน้องชมพู่ ได้เดินทางมาที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยทีมทนายความ เพื่อฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหารเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไชย์พล วิภา เป็นจำเลยที่ 1 ใน 4 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา, พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร, ทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ขวบ ไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย และ ร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทําให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
และ นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ เป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ต่อมาช่วงเที่ยง ผู้พิพากษาได้ออกนั่งบัลลังก์และอ่านคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 292, 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ส่วนข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 กับให้ จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
คำพิพากษาศาล ระบุว่า คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าบริเวณที่พบศพเด็กหญิงชมพู่อยู่บนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากจุดที่มีคนพบเห็นผู้ตายครั้งสุดท้ายประมาณ 1.5 กิโลเมตร และเป็นทางลาดชัน ประกอบกับบริเวณดังกล่าวมีการตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้นที่มีลักษณะถูกตัดด้วยของแข็งมีคม จึงเชื่อว่าผู้ตายซึ่งมีอายุเพียง 3 ขวบเศษ ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงบริเวณที่พบศพและใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้ แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไป
ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า ประการแรก ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 09.00 น. ผู้ตายเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพัก และมีเด็กหญิง ก. พี่สาวผู้ตาย นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ใกล้เคียง
กระทั่งเวลาประมาณ 09.50 น. เด็กหญิง ก. มองหาผู้ตายไม่เห็น จึงออกตามหา ดังนั้น ผู้ตายต้องหายตัวไปก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โดยเด็กหญิง ก. เบิกความว่าไม่ได้ยินเสียงผู้ตายร้องแต่อย่างใด เชื่อว่า คนร้ายที่พาผู้ตายไปต้องเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิดในหมู่บ้านที่ผู้ตายรู้จักดี เนื่องจากผู้ตายจะร้องไห้หากถูกคนแปลกหน้าอุ้ม
ตำรวจจึงสืบสวนกลุ่มบุคคลดังกล่าว 14 คน แบ่งเป็นญาติ 12 คน และบุคคลใกล้ชิด 2 คน พบว่า 13 คน มีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตำแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์ที่ชัดเจน ยกเว้น จำเลยที่ 1 (ลุงพล) ซึ่งไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป
ประการที่สอง จำเลยที่ 1 มีพิรุธหลายอย่าง เช่น อ้างว่าวันที่เกิดเหตุไปรับพระที่วัด แต่วันนั้นมือถือของจำเลยที่ 1 อยู่กับจำเลยที่ 2 และทั้งคู่มีมือถือเครื่องเดียว แต่พอไปถึงวัด กลับบอกพระว่าเกือบไม่ได้มารับพระเพราะหลานหาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 1 จะทราบว่าผู้ตายหายตัวไปในเวลานั้น เพราะไม่ได้พกมือถือ
ประการที่สาม พยานโจทก์ปากนาย ว. และ นาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่า พยานเห็นจำเลยที่ 1 อยู่บริเวณสวนยางพาราซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทำความผิด โดยขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จำเลยที่ 1 พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. ให้ นาย ว. บอกตำรวจว่า นาย ว. พบจำเลยที่ 1 ในช่วงเวลา 07.00 น. ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้ตำรวจสงสัยจำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อพิรุธว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดต้องพูดจาในลักษณะดังกล่าวกับพยานที่ให้การต่อตำรวจตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น แม้ต่อมาในขณะสืบพยาน นาง พ. จะเบิกความว่า ตนไม่ได้เห็นจำเลยที่ 1 บริเวณสวนยางพารา แต่ก็เป็นการกลับคำภายหลังเกิดเหตุกว่า 2 ปี ซึ่งอาจทำเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 คำให้การในชั้นสอบสวนของ นาง พ. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่า
ประการสุดท้าย ภายหลังตำรวจตั้งข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์ จำเลยที่ 1 พบเส้นผม 16 เส้น และวัตถุพยานอื่น โดยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญ ปรากฏว่า เส้นผม 1 เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จำเลยที่ 1 มีองศาของรอยตัด หน้าตัดและพื้นผิวด้านข้างตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย 2 เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง 3 เส้น ดังกล่าว จึงถูกตัดในคราวเดียวกันด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน เชื่อว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย แต่ด้วยเหตุที่เส้นผมมีขนาดเล็กมาก จำเลยที่ 1 จึงไม่สังเกตว่ามีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตน
ทั้งนี้ การสืบสวนสอบสวนของตำรวจในคดีนี้ ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังจำเลยที่ 1 มาแต่แรก หากเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อสันนิษฐานอย่างเป็นลำดับขั้นตอนดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น โดยไม่ปรากฏว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องคนใดมีสาเหตุโกรธเคืองหรือมูลเหตุชักจูงใจในการใส่ร้ายจำเลยที่ 1 จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่พาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ
ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า ขณะพาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ จำเลยที่ 1 รู้หรือไม่ว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผากด้านซ้ายและท้ายทอยเป็นจ้ำ ๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตรวจดูให้ดีเลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพฯ นั้น เห็นว่าภายหลังวันเกิดเหตุจนถึงวันที่พบศพผู้ตาย โจทก์ไม่มีพยานคนใดเบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ แม้ผลการตรวจเส้นผม 3 เส้น จากบริเวณที่พบศพผู้ตายมีดีเอ็นเอไมโตคอนเดรีย หรือ mtDNA ตรงกับจำเลยที่ 2 แต่การตรวจหาดีเอ็นเอไมโตคอนเดรีย นั้น ไม่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ เพียงแต่ระบุได้ว่าเป็นเส้นผมของบุคคลที่อยู่ในสายมารดาเดียวกับผู้ตายเท่านั้น เส้นผมดังกล่าวจึงไม่เป็นของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียว เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสองในข้อหานี้
หลังจากนั้น ทนายได้ยื่นหลักทรัพย์ต่อศาลจังหวัดมุกดาหารเพื่อขอประกันตัว นายไชย์พล ซึ่งศาลก็ได้อนุญาตให้ประกันตัว นายไชย์พล โดยใช้หลักทรัพย์ 500,000 บาท
ปู่มหามุนี ปะทะ แฟนคลับลุงพล หน้าศาล จ.มุกดาหาร
ขณะที่ บรรยากาศหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ก่อนที่ศาลจะพิพากษา มีกลุ่มยูทูบเบอร์ฝั่งลุงพลจำนวนกว่า 50 ช่อง เดินทางมาถ่ายทำคลิปและให้กำลังใจลุงพล ส่วนกลุ่มยูทูบเบอร์ฝั่งของแม่น้องชมพู่มีจำนวนไม่มากเท่าไร โดยหนึ่งในนั้นมียูทูบเบอร์ชื่อดัง คือ นายชัยรัตน์ ยอดพรหม หรือ ปู่มหามุนี ได้นำพวงหรีดมาให้กำลังใจลุงพล ซึ่งทำให้กลุ่มยูทูบเบอร์ของลุงพลไม่พอใจ อ้างว่าเป็นการด้อยค่าลุงพล ก่อนกระชากป้ายออกจากพวงหรีด ปะทะคารม หวิดวางมวยกัน
นักข่าวที่มาเกาะติดคดีและตำรวจต่างเข้ามาช่วยห้ามศึก ก่อนทั้ง 2 ฝ่าย จะแยกย้ายกันไป ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35