ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ศาลจังหวัดมุกดาหาร เลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีการเสียชีวิต น้องชมพู่ เป็นวันที่ 20 ธันวาคมนี้แทน
เป็นคดีที่คนทั้งประเทศเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับคดีการเสียชีวิตของ น้องชมพู่ เด็กหญิงอายุ 3 ขวบ ซึ่งกลายเป็นศพอยู่บนภูเหล็กไฟ ตำบลกกตูม จังหวัดมุกดาหาร โดยมี นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล และนางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-2
ล่าสุดเวลา 09.00 น.วันนี้ (31 ต.ค.) ลุงพล พร้อมป้าแต๋น และทนายความ เดินทางไปที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร เพื่อฟังคำพิพากษาในคดี เช่นเดียวกับ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ ที่เดินทางมาที่ศาลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
กระทั่งผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี ออกนั่งบัลลังก์ และแจ้งต่อโจทก์กับจำเลยว่า ตามที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ แต่เนื่องจากคดีอยู่ระหว่างสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ตรวจสำนวน และร่างคำพิพากษา ตามระเบียบฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการรายงานคดีในศาลชั้นต้น และศาลชั้นอุทธรณ์ ต่อประธานศาลฎีกา แต่ร่างคำพิพากษา และสำนวนยังไม่กลับมาจากสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 จึงไม่สามารถอ่านคำพิพากษาในวันนี้ได้ จึงเห็นควรให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10.00 น.วันที่ 20 ธันวาคม 2566
แม่ช้ำใจ ! น้องชมพู่ ไม่มีโอกาสเลือก แต่จำเลยมีโอกาสแก้ต่าง
หลังจากนั้น นางสาวิตรี แม่ของน้องชมพู่ แถลงข่าวเปิดใจว่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังศาลเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาออกไป แต่เข้าใจว่ามีเหตุผลจำเป็น โดยวันนี้ได้เจอลุงพล แต่ไม่ได้พูดคุยทักทายกัน คดีนี้ตนเองรู้สึกสูญเสีย และยังถูกกระทำซ้ำ ๆ โดยครอบครัวถูกมองว่าเป็นฝั่งใส่ร้ายจำเลย แต่ข้อเท็จจริงแล้วกลับเป็นอีกฝั่ง ที่มักทำอะไรพาดพิงมาเสมอ
ส่วนกรณี ลุงพล-ป้าแต๋น ยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธ์ล้านเปอร์เซ็นต์นั้น นางสาวิตรี มองว่าเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล และในทางคดีไม่ได้กังวลอะไร เพราะได้เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับหลักฐานแล้ว เช่นเดียวกับประเด็นที่ทนายฝั่งลุงพล บอกว่า ไม่พบดีเด็นเอของลุงอยู่ที่ตัวน้องชมพู่ ทนายจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมอำพราง ถ้าดีเอ็นเอของผู้ร้ายไม่มาพัวพันกับผู้ตาย ก็จะต้องมีหลักฐานอะไรบางอย่าง ที่ผู้ตายไปพัวพันกับคนร้าย
ช่วงท้าย นางสาวิตรี ระบุว่า คดีนี้ครอบครัวตนเองเป็นผู้สูญเสีย และไม่มีโอกาสได้เลือก แต่ฝั่งจำเลยยังมีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองว่าถูกใส่ร้ายหรือไม่
ขณะที่ประเด็นข้อสังเกตเรื่องสุนัข อาจพาน้องชมพู่ขึ้นไปบนเขานั้น นางสาวิตรี กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่สุนัขจะพาน้องวิ่งออกนอกบ้าน เพราะนิสัยของน้อง ถ้าจะออกไปนอกพื้นที่ จะหันมามองแม่ตลอด และน้องยังถอดเสื้อผ้าไม่เป็น และยังไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้
ด้าน นายพิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล ทนายความของแม่ชมพู่ เปิดเผยว่า คดีนี้แม้ไม่พบหลักฐานดีเอ็นเอของจำเลย บนร่างน้องชมพู่ แต่ยังมีพยานหลักฐานต่าง ๆ เช่น พยานแวดล้อม และพยานบุคคล
ลุงพล-ป้าแต๋น ลั่นแตกหักครอบครัวแม่ชมพู่
ไปกันที่ลุงพล แถลงข่าวว่าอยากจะทักทายแม่น้องชมพู่ และพูดคุยกันเหมือนเดิม แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ทำให้ต้องห่างกันสักพัก และตนเองจะขอใช้เวลาในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองก่อน โดยหลังจากนี้เป็นเรื่องของอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกับ ป้าแต๋น บอกว่า ตอนนี้ 2 ครอบครัวได้แตกหักกันไปแล้ว โดยครอบครัวตนพยายามคืนความบริสุทธิ์ ส่วนครอบครัวของเขา พยายามหาความยุติธรรมให้ลูก
ทนายแจงยิบข้อสงสัยคดีการเสียชีวิตน้องชมพู่
ด้านนายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความของลุงพล ระบุว่า การได้มาซึ่งพยานหลักฐานในสำนวนคดีนี้ ไม่ได้ทำอย่างตรงไปตรงมา เช่น การพบเส้นขนบนรถยนต์ที่ลุงพลใช้ประจำ เปรียบเทียบกับที่เกิดเหตุ จุดพบร่างและพบกางเกง ไม่มีหมายค้นจากศาล และการตรวจพบวัตถุพยาน ไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่บ้านก่อน เป็นต้น
ส่วนแรงจูงใจในการก่อเหตุ ก็ไม่พบว่า ลุงพล-ป้าแต๋น ได้ประโยชน์ใด ๆ จากการตายของน้องชมพู่ ทั้งกรมธรรม์ประกันภัย ประกันชีวิต รวมถึงไม่พบว่ามีความอาฆาตแค้นกันมาก่อน
ส่วนข้อสงสัยว่า น้องจะเดินขึ้นภูไปเองได้อย่างไร ตรงนี้ในภาวะที่ต้องเอาตัวรอด อาจจะเอาพลังงานจากไขมัน หรือตับ ในการเดินขึ้นไป เพราะร่างกายเด็กมีความยืดหยุ่น เช่นเดียวกับประเด็นน้องถอดกางเกงได้หรือไม่ นักพฤติกรรมศาสตร์ ให้ข้อมูลมาว่า แม้ไม่เคยเห็นน้องถอดเสื้อผ้า แต่ลับหลังอาจจะทำได้เอง
สำหรับเส้นผมที่ขาด อาจเกิดจากถูกสัตว์ป่ากัดแทะ โดยเส้นผมที่พบในรถลุงพลไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นผมของน้องชมพู่ เพราะไม่มีรากผม ตรวจดีเอ็นเอไม่ได้ ตรวจได้แค่ไมโทคอนเดรีย ว่ามาจากสายเลือดฝั่งแม่เดียวกันเท่านั้น
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35