ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ผบ.ตร. สั่งให้เร่งแก้ไขโดยด่วย กรณีผู้เสียหายที่ไปแจ้งความ แต่ถูกสลับข้อมูลจนกลายเป็นผู้ต้องหา ด้าน ผู้กำกับการ สภ.บางปะอิน ยอมรับเป็นความผิดพลาดของระบบการบันทึกข้อมูล พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
ผบ.ตร.สั่งตรวจสอบ กรณีผู้เสียหายถูกสลับข้อมูลเป็นผู้ต้องหา
พลตำรวจโท อาชยน ไกรทอง โฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) กล่าวถึงกรณีที่นายปัญญา อายุ 48 ปี ผู้เสียหายที่ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาจากกรณีที่เป็นผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทแห่งหนึ่งเข้าแจ้งความที่ สภ.บางปะอิน ในคดีลักทรัพย์ เมื่อปี 2564
แต่จากเหตุการณ์นั้น เลขบัตรประชาชน 13 หลักของนายปัญญา กลับถูกนำไปใส่ในส่วนผู้ต้องหา แทนที่จะเป็นผู้เสียหาย ทำให้ นายปัญญา ไม่สามารถสมัครเข้าทำงานที่ใหม่ได้ และมีประวัติอาชญากรติดตัว
โดย พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวให้ครบทุกมิติ ในเรื่องความบกพร่องของการคีย์ข้อมูลพนักงานบริษัทจนทำให้ถูกไล่ออก ตำรวจต้องช่วยเหลือเยียวยา ปรับแก้ข้อมูลให้ถูกต้องโดยเร็ว และระวังไม่ให้เกิดเหตุเช่นเดิมซ้ำอีก
ส่วนจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวหรือไม่ ต้องมีการตรวจสอบว่ามีเจตนาอย่างไร หรือ เป็นความผิดพลาดของตัวเจ้าหน้าที่เอง
เมื่อถามว่าอาจจะมีคดีอื่นที่เจ้าของคดีดำเนินการผิดพลาดและไม่ได้ดำเนินการแก้ไขต่อ หรือ บางคดีที่คดีจบไปแล้ว แต่เจ้าของคดีไม่ได้ยื่นเรื่องแก้ไข จะต้องทำอย่างไร พลตำรวจโท อาชยน กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังดำเนินการอยู่ทั้งเรื่องของผลคดี กับการลบประวัติเพื่อคืนความถูกต้องให้กับประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ต้องเร่งเชื่อมโยงข้อมูลให้เรียบร้อย ไม่ให้กระทบกับสิทธิประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการเข้าไปทำงาน และเป็นการรักษาเกียรติยศชื่อเสียง
ผกก.สภ.บางปะอิน ยอมรับบันทึกข้อมูลผิดพลาด จ.พระนครศรีอยุธยา
พันตำรวจเอก พัทธนันท์ ทรงสมถวิล ผู้กำกับการ สภ.บางปะอิน ระบุว่า ผู้เสียหายมาแจ้งความ ที่ สภ.บางปะอิน เมื่อปี 2564 ก่อนที่ตนเองจะมาประจำที่นี่ มาแจ้งความในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง โดยได้รับมอบอำนาจมาจากบริษัทแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่บางปะอินแจ้งความดำเนินคดีกับนักศึกษาฝึกงานของบริษัทในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง มูลค่าความเสียหายประมาณ 2 แสนกว่าบาท
ร้อยเวรในขณะนั้น ได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว และสอบสวนจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งศาลฟ้องศาลแล้ว คดีนี้ศาลได้สั่งจำคุกผู้ต้องหา จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำรอไว้ 2 ปี พิพากษาไว้แล้วเมื่อปี 2564 ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพลักทรัพย์ แต่ปฏิเสธรับข้อหาของโจร
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด เป็นการบันทึกข้อมูลในระบบ คราม (CRIMES) ซึ่งเป็นระบบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ผู้บังคับบัญชาใช้ในการตรวจสำนวนคดี และเป็นข้อมูลภายใน ตรวจสอบแล้วสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า มีการลงข้อมูลผิดพลาด ลงชื่อผู้ต้องหา แต่ตรงเลข 13 หลัก กลายเป็นเลขของผู้เสียหายที่มาแจ้งความ ซึ่งทางโรงพักทราบเรื่องแล้ว
ทั้งนี้ ทาง สภ.บางปะอิน ยินดีที่จะเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ตามกรอบของกฎหมาย ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความประมาทเลินเล่อของใคร ถ้าตรวจสอบแล้วผิดก็ว่าไปตามผิด ตามระเบียบข้อกฎหมาย
ผู้เสียหายยื่นหนังสือเรียกร้องให้ สตช.ช่วยเยียวยา
ล่าสุด นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายมายื่นหนังสือร้องทุกข์ไปถึงรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่าน นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี สมศักดิ์ เทพสุทิน
โดยขอให้ภาครัฐ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งช่วยเหลือและรับผิดชอบ เนื่องจากผู้เสียหายมีค่าเสียโอกาสที่ต้องเสียไปจากความผิดพลาดของตำรวจ ขณะที่ผู้เสียหายเองยอมรับว่าทุกวันนี้ลำบากมาก ไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าบ้าน ค่างวดรถและค่ากินอยู่ของคนในครอบครัว วอนตำรวจรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ยังหาผู้รับผิดชอบไม่ได้
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35