เริ่มปลูกฝังได้ตามช่วงวัย เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อย
logo ข่าวอัพเดท

เริ่มปลูกฝังได้ตามช่วงวัย เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อย

ข่าวอัพเดท : การเลี้ยงลูกในคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เลี้ยงเด็กทารกเป็นครั้งแรก นับเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความสุขความแปลกใหม่ไปพร้อม ๆ กัน เน แม่และเด็ก,เสริมสร้างพัฒนาการ,ทารก,เด็ก,ครอบครัว พัฒนาการ

372 ครั้ง
|
04 ต.ค. 2566
การเลี้ยงลูกในคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เลี้ยงเด็กทารกเป็นครั้งแรก นับเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความสุขความแปลกใหม่ไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเด็กในแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการที่แตกต่างกันตั้งแต่เด็กทารกแรกเกิดไปจนถึงวัยรุ่น พัฒนาการของเด็กนั้นมักได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมรอบตัว ดังนั้นการเลี้ยงดูเด็กในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะทำให้เด็กพัฒนาศักยภาพตามพันธุกรรมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราสามารถแบ่งพัฒนาการของเด็ก 
 
พัฒนาการ (Development) คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะในร่างกาย และตัวบุคคล ทำให้สามารถทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนขึ้นได้ โดยมีการเพิ่มทักษะใหม่ ๆ และความสามารถในการปรับตัว เพื่อให้เด็ก สามารถเติบโตและใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งพัฒนาการของเด็ก ประกอบไปด้วย
1. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
2. พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา
3. พัฒนาการด้านการเข้าใจและการใช้ภาษา
4. พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม
 
พัฒนาการของเด็ก 
1.เด็กแรกเกิด ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 เดือนแรก เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ เด็กในวัยนี้จะมีแค่การกิน นอน ร้อง ถ่าย การเคลื่อนไหวของเด็กวัยนี้จะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เช่น สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดัง ขยับศีรษะเมื่อมีคนลูบแก้ม กำนิ้วมือหรือนิ้วเท้าเมื่อมีสิ่งของวางบนฝ่ามือหรือฝ่าเท้า ซึ่งในระยะนี้ เด็กจะสามารถเห็นสิ่งของที่อยู่ใกล้ ๆ เช่น ใบหน้าของคุณพ่อ คุณแม่ จำกลิ่นบางอย่างได้ ยิ้มและร้องไห้เพื่อสื่อการถึงความต้องการ 
ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ ต้องคอยใส่ใจเป็นพิเศษว่าเสียงร้องของลูกน้อยหมายความว่าอะไร เพื่อที่จะตอบสนองได้อย่างเหมาะสม และนอกจากนี้ควรสบตา มองหน้า พูดคุยกับลูกในเวลากลางวันเพื่อให้เด็กตื่นอย่างสดชื่นและช่วยพัฒนาทางด้านภาษาให้กับลูกน้อย
 
2. เด็กทารก เด็กที่มีอายุระหว่าง 1-12 เดือน จะเริ่มแสดงออกถึงพัฒนาการใหม่ ๆ
- เมื่อเด็กมีอายุ 3-6 เดือน เด็กจะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของศีรษะ ตั้งศีรษะนิ่ง คอไม่อ่อนพับไปมา (sit with head steady) พลิกคว่ำ หงายได้ จดจำใบหน้าของคุณพ่อ คุณแม่ และคนใกล้ชิดได้
- เด็กจะเริ่มพูดอ้อแอ้เมื่อมีอายุ 6-9 เดือน และรับรู้ชื่อของตัวเองและคำง่าย ๆ ที่คุณพ่อ คุณแม่ใช้บ่อย ๆ
- เมื่ออายุ 7-12 เดือน เด็กจะเริ่มพัฒนาทักษะทางด้านร่างกายโดยสามารถคลาน เกาะยืน เดินได้เอง หยิบสิ่งของด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ได้ 
คุณพ่อ คุณแม่ สามารถให้ของเล่นที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเด็ก และระยะนี้เป็นช่วงของการสร้างความไว้ใจ คุณพ่อ คุณแม่ควรสอนให้ลูกเรียนรู้ที่จะไว้ใจโดยการตอบสนองต่อความต้องการของลูกทันทีอย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์
 
3. เด็กวัยเตาะแตะ ช่วงอายุ 1-3 ขวบ เป็นช่วงอายุที่เด็กเริ่มเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ เป็นวัยที่มีพัฒนาการทางด้านร่างกายสมองและอารมณ์อย่างรวดเร็ว เด็กจะมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่โดยสามารถปีนป่าย โยนรับลูกบอลได้ กระโดดอยู่กับที่ และนอกจากนี้ในช่วง 2-3 ขวบ เด็กจะมีพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก สามารถใช้นิ้วและแขนได้ดีขึ้น เช่น ใช้ช้อนส้อมกินอาหารด้วยตัวเอง สามารถขีดเขียนแบบง่าย ๆ สมองเจริญเติบโตมากขึ้น สามารถเรียนรู้เรื่องซับซ้อนได้มากขึ้น ปฏิบัติตามคำสั่งง่าย ๆ ได้ 
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นวัยที่สมองของเด็กพัฒนาได้มากที่สุดและรวดเร็วที่สุดกว่าช่วงอื่น ๆ ในชีวิต คุณพ่อ คุณแม่จึงควรกระตุ้นให้ลูกสำรวจสิ่งใหม่ ๆ หาสิ่งที่น่าสนใจมาเสริมสร้างพัฒนาการเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ  และให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองให้แก่ลูก 
 
4. เด็กก่อนวัยเรียน ในวัย 3-5 ปี เด็กจะสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้นเล็กน้อย มีทักษะทางด้านร่างกายเพิ่มมากขึ้น เช่น สามารถกระโดดไปมายืนขาเดียว เริ่มกระโดดขาเดียว แต่งตัวเองได้ นอกจากนี้ยังสนใจในการเรียนรู้และลองทำสิ่งใหม่ ๆ พยายามสร้างความสัมพันธ์และเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ พูดคุยหรือสนทนายาว ๆ กับผู้อื่นได้ ซึ่งเด็กในวัยนี้จะชอบพูดคุยและชอบซักถามในทุก ๆ เรื่อง
 ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่จึงควรหมั่นพูดคุยกับลูกเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านภาษา เด็กในวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มหัดอ่านหนังสือ เป็นวัยที่มีจินตนาการสูง คุณพ่อ คุณแม่ควรสนับสนุนให้เด็กใช้จินตนาการอย่างเหมาะสม เช่น มีของเล่นที่ใช้เล่นบทบาทสมมติได้ การทำกิจกรรมเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความคิดริเริ่มและความมั่นใจให้กับเด็ก ช่วยให้เด็กใช้พลังงานที่มีอยู่ในตัวอย่างมากมายในเชิงสร้างสรรค์ แต่อาจจะต้องระวังเรื่องของความรุนแรงท่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างมาก พฤติกรรมลอกเลียนแบบมักก่อให้เกิดผลเสียตามมาในเรื่องที่ไม่เหมาะสม
 
5. เด็กวัยเรียน เด็กในวัย 5-12 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญของเด็กในการเรียนรู้ทักษะชีวิต สมองของเด็กพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทักษะการใช้กล้ามเนื้อพัฒนาอย่างเต็มที่ คุณพ่อ คุณแม่จึงควรหากิจกรรมให้ลูกได้ปลดปล่อยพลังงานวิ่งเล่น ออกกำลังกาย สังเกตว่าลูกสนใจกีฬาประเภทไหน เพื่อให้ลูกได้ออกกำลังกายทุกวัน นอกจากนี้เด็กจะสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นและให้ความสำคัญต่อกลุ่มทางสังคม ควรส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เด็กจะเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นและรู้สึกภูมิใจเมื่อทำสิ่งใดสำเร็จ สำหรับพัฒนาการทางด้านสมอง เด็กวัยนี้สามารถที่จะคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น 
คุณพ่อ คุณแม่อาจปล่อยให้ลูกได้ตัดสินใจเองบ้าง เพื่อให้ลูกได้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และไม่ควรสร้างภาวะที่ก่อให้เกิดความกดดันในตัวเด็กเพื่อที่เด็กจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองชอบโดยปราศจากแรงกดดันจากครอบครัว
 
เพื่อการเติบโตที่เหมาะสมกับวัยและเพื่อที่เด็กจะสามารถช่วยเหลือตนเองและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุขได้ ในช่วงปีแรก ๆ ของเด็กจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุดต่อพัฒนาการทางด้านสมองของเด็ก การดูลูกรักอย่างเหมาะสมจะทำให้เด็กเติบโตอย่างดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต มีความรับผิดชอบและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่อย่างไรก็ตามในทุก ๆ ช่วงเวลาของชีวิตเด็ก เด็กควรได้รับความรัก ความอบอุ่น การตอบสนอง ความเข้าใจและคำแนะนำจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดอยู่เสมอ
 
อ้างอิงข้อมูลจาก https://shorturl.asia/PhaW5
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง