ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เรื่องนี้อยากให้ผู้ชมตั้งใจฟังไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากกำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ในเรื่องการถูกนำบัตรประชาชนไปสวมสิทธิ์ ทำให้ต้องติดคุกฟรี
อดีตนางแบบสาวแชร์ประสบการณ์ ถูกเพื่อนนำบัตรประชาชนไปใช้กระทำความผิด โดยที่ตนเองไม่รู้ ขณะที่ตนเองทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ แต่อยู่ ๆ มีหมายศาลมาหาเธอ สั่งให้เธอไปขึ้นศาลคดีลักทรัพย์ เธอเจอแบบนี้ก็งงสิ เพราะส่วนใหญ่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่สิงคโปร์กับครอบครัว เรื่องนี้เธอฟ้องหน่วยงานรัฐบาลถึง 20 ล้านบาท และศาลชั้นต้นตัดสินให้เธอชนะคดี เรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การปฏิบัติงานตามหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานอัยการ เป็นอย่างมาก มาฟังเรื่องนี้กันว่าเธอดำเนินการแก้ต่างให้ตัวเองอย่างไร
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับ นางสาวพุทธชาติ เพิ่มพูล หรือ ดรีม พุทธชาติ อดีตนางแบบสาว เธอตกเป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ เธอเล่าให้ผู้สื่อข่าวเราฟังว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนเองได้ไปมีครอบครัวอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ และทำธุรกิจอยู่ที่นั้น ต่อมาเมื่อปี 2560 ทางญาติตนเองที่ประเทศไทยได้โทรศัพท์มาบอกว่า มีหมายศาลมาเรียกให้ตนเองไปขึ้นอุทธรณ์ในคดีลักทรัพย์ ตนเองรู้สึกแปลกใจว่า ตนเองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสิงคโปร์ จะไปก่อเหตุลักทรัพย์ที่ไทยได้อย่างไร และอีกอย่างศาลชั้นต้นก็ยังไม่เคยขึ้นเลย ตนเองจึงให้ทนายที่ประเทศไทยตรวจสอบที่ศาลจังหวัดมีนบุรีพบว่า มีชื่อตนเองเป็นจำเลยในคดีลักทรัพย์อยู่จริง ทนายจึงนำหลักฐานการที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ในวันเกิดเหตุให้ศาลดู ศาลอุทธรณ์จึงสั่งเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปก่อน
จากนั้นอีกไม่กี่วัน ได้มีจดหมายส่งไปบ้านที่ประเทศอีก 1 ฉบับ เนื้อในจดหมายระบุ ข้อความว่า มาจากศาลจังหวัดธัญบุรี คุณมีหมายจับอยู่ 2 คดี ให้ติดต่อกลับในเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ ตนเองก็รู้สึกแปลกใจว่าถ้าเป็นจดหมายจากศาลทำไมถึงใช้ปากกาเขียนเป็นตัวหนังสือมา ตนจึงให้ทนายความเข้าไปตรวจสอบ พบว่าจดหมายฉบับนี้ศาลไม่ได้เป็นคนส่งมา แต่เป็นนายหน้าประกันเป็นคนส่งมา
ต่อมาตนเองจึงให้ทนายความช่วยหาความจริงในเรื่องนี้ จนได้ข้อมูลมาว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2559 เจ้าพนักงานตํารวจสถานีตํารวจนครบาลมีนบุรี ได้จับกุมตัวนางสาววิลาวัลย์ มาดําเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ แต่ในวันที่ถูกจับกุมนั้น นางสาววิลาวัลย์ (ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กขอตนเอง)ได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานตํารวจว่าตนเองชื่อ พุทธชาติ เพิ่มพูล และได้ลงลายมือชื่อว่า พุทธชาติ เพิ่มพูล ในบันทึกการจับกุม และได้ให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริง แต่นางสาววิลาวัลย์ อ้างว่าทำบัตรประชาชนหาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคัดเอกสารทะเบียนราษฎร์ของตนออกมาให้นางสาววิลาวัลย์เซ็นรับผิดในเอกสาร ทําให้พนักงานอัยการนําตัวนางสาววิลาวัลย์ ไปฟ้องต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ในชื่อนางสาวพุทธชาติ เพิ่มพูล และศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดํา และได้นำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังอยู่ที่เรือนจำ ต่อมานางสาววิลาวัลย์ได้ไปติดต่อกู้ยืมเงินจากนายประกัน เพื่อมาประกันตัว โดยนางสาววิลาวัลย์ ได้ใช้ชื่อพุทธชาติ เพิ่มพูล เหมือนเดิม แต่เนื่องจากนางสาววิลาวัลย์ ไม่มีบัตรประชาชนของผู้เสียหาย
นายประกันช่วยคัดสำเนาทะเบียนราษฎร์ของตนออก ศาลจึงอนุญาตให้ประกันตัว จากนั้นนางสาววิลาวัลย์ ได้หลบหนีประกันไป ไม่ยอมมาขึ้นศาล ทำให้นายประกันต้องเขียนจดหมายตามตัวตนเองมาขึ้นศาลแทน เพราะถ้าตนเองมาขึ้นศาลนายประกันจะได้เงินคืน
หลังจากตำรวจนำหลักฐานเข้าไปตรวจได้ 7 วัน พบว่าได้ส่งตัวฟ้องผู้ต้องหาผิดตัว แต่ตำรวจกลับไม่ดำเนินการอะไร กลับปล่อยเลยตามเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุให้ตนเองต้องฟ้องกลับ
เรื่องนี้มีข้อผิดพลาดหลายอย่างมากที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ตรวจสอบให้ดีก่อจะนำชื่อตนเองไปฟ้องศาล คือ นางสาววิลาวัลย์ (ผู้ต้องหาตัวจริง) แค่บอกชื่อตนเองกับตำรวจด้วยวาจา แต่ตำรวจเชื่อได้สนิทใจแล้วว่าผู้ต้องหาชื่อนั้นจริง อีกทั้งมีการพิมพ์ลายนิ้วมือที่บ่งบอกตัวตนอย่างชัดเจน แต่ทำไม่ไม่ตรวจสอบว่าเป็นคนละคนกัน หลังเรื่องนี้กระจ่างแล้วว่าตนเองไม่ใช่ผู้กระทำความผิด แต่หน่วยงานรัฐก็ไม่มีการดำเนินการแก้ไขอะไร และที่สำคัญมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวตนเองได้ง่าย แค่นางสาววิลาวัลย์ บอกว่าทำบัตรประชาชนหาย ก็มีการคัดขึ้นมาใหม่ได้ทันที
เรื่องนี้ตนเองสู้คดีอยู่ 6 ปีจนศาลแพ่งชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้หน่วยงานรัฐทั้ง 2 หน่วยงานร่วมกันชดใช้เงินค่าเสียหายให้ตนเอง 20 ล้านบาท เพราะช่วงระหว่างเกิดเรื่อง ตนเองกลับประเทศไทยไม่ได้เลยกว่า 1 ปี เพราะถ้ากลับมาแล้วก็จะถูกจับดำเนินคดี เพราะชื่อตนเองต้องตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ ธุรกิจตนเองต้องเสียหาย กลับมาถ่ายแบบในประเทศไทยไม่ได้
หลังสู้อยู่ 6 ปี ตนเองได้เดินทางกลับมาที่ประเทศไทย ตอนขาเข้าประเทศไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่พอจะเดินทางออกนอกประเทศ กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมต่อหน้าลูก ๆ บอกว่าตนเองมีหมายจับ และควบคุมตนไปที่ห้องควบคุมผู้ต้องหา ตนเองจึงให้ทนายพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนจึงได้รับอิสรภาพคืน ตนเองคิดว่า ถ้าเป็นตาสีตาสาอาจถูกจับติดคุกไปแล้ว ตนโชคดีที่พอมีเงินจ้างทนายความมาช่วยเหลือในคดี ทำให้รอดจากการติดคุกฟรี
ล่าสุด ตนเองเดินทางไปกองประวัติอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าชื่อตนเองยังมีความผิดอีก 7 คดี มีทั้งคดีเกี่ยวกับการพนันและคดีอื่น ๆ ตอนนี้ตนเองจึงไม่รู้ว่า จะดำเนินการยังไรต่อไปดี เราไปฟังนายปิยพล บุญมี ทนายความที่เข้ามาช่วยเหลือให้คดีนี้ พูดถึงความยากในการทำคดีนี้
ติดตามประเด็นนี้ในรายการ “ถกไม่เถียง” กับ ทิน โชคกมลกิจ
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35