logo ข่าวเย็นประเด็นร้อน

อดีตนางแบบสาว ถูกเพื่อนสวมบัตร ปชช. ศาลสั่งชดใช้ 20 ล้าน | เบื้องหลังข่าว กับ กาย สวิตต์

ข่าวเย็นประเด็นร้อน : เรื่องนี้อยากให้ผู้ชมตั้งใจฟังไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากกำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ในเรื่องการถูกนำบัตรประชาชนไปสวมสิทธิ์ ทำให ช่อง7,ช่อง7HD,CH7,CH7HD,7HD,CH7HDNEWS,ข่าว,ข่าว7,ข่าวช่อง7,ข่าววันนี้,ข่าวใหม่,ข่าวล่าสุด,ข่าวสด,ข่าวเด็ด,ข่าวด่วน,ข่าวร้อน,ข่าวไทย,ข่าวออนไลน์,ข่าวโซเชียล,ข่าวสังคม,ข่าวภูมิภาค,ข่าวเศรษฐกิจ,ข่าวการเมือง,ดูทีวีย้อนหลัง,ดูรายการย้อนหลัง,ดูย้อนหลัง,ถกไม่เถียง,ทินถกไม่เถียง,TERODigital,ข่าวเย็นประเด็นร้อน,สวิตต์ ลีละพงศ์วัฒนา,สงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์,เปรมสุดา สันติวัฒนา,ฝนฟ้าอากาศ,ทิน โชคกมลกิจ

887 ครั้ง
|
04 ก.ย. 2566
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เรื่องนี้อยากให้ผู้ชมตั้งใจฟังไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากกำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ในเรื่องการถูกนำบัตรประชาชนไปสวมสิทธิ์ ทำให้ต้องติดคุกฟรี
 
อดีตนางแบบสาวแชร์ประสบการณ์ ถูกเพื่อนนำบัตรประชาชนไปใช้กระทำความผิด โดยที่ตนเองไม่รู้ ขณะที่ตนเองทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ แต่อยู่ ๆ มีหมายศาลมาหาเธอ สั่งให้เธอไปขึ้นศาลคดีลักทรัพย์ เธอเจอแบบนี้ก็งง เพราะส่วนใหญ่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่สิงคโปร์กับครอบครัว เรื่องนี้เธอฟ้องหน่วยงานรัฐบาลถึง 20 ล้านบาท และศาลชั้นต้นตัดสินให้เธอชนะคดี เรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การปฏิบัติงานตามหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานอัยการ เป็นอย่างมาก มาฟังเรื่องนี้กันว่าเธอดำเนินการแก้ต่างให้ตัวเองอย่างไร
 
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับ นางสาวพุทธชาติ เพิ่มพูล หรือ ดรีม พุทธชาติ อดีตนางแบบสาว เธอตกเป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ เธอเล่าให้ผู้สื่อข่าวเราฟังว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนเองได้ไปมีครอบครัวอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ และทำธุรกิจอยู่ที่นั้น ต่อมาเมื่อปี 2560 ทางญาติตนเองที่ประเทศไทยได้โทรศัพท์มาบอกว่า มีหมายศาลมาเรียกให้ตนเองไปขึ้นอุทธรณ์ในคดีลักทรัพย์ ตนเองรู้สึกแปลกใจว่า ตนเองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสิงคโปร์ จะไปก่อเหตุลักทรัพย์ที่ไทยได้อย่างไร และอีกอย่างศาลชั้นต้นก็ยังไม่เคยขึ้นเลย ตนเองจึงให้ทนายที่ประเทศไทยตรวจสอบที่ศาลจังหวัดมีนบุรีพบว่า มีชื่อตนเองเป็นจำเลยในคดีลักทรัพย์อยู่จริง ทนายจึงนำหลักฐานการที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ในวันเกิดเหตุให้ศาลดู ศาลอุทธรณ์จึงสั่งเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปก่อน 
 
จากนั้นอีกไม่กี่วัน ได้มีจดหมายส่งไปบ้านที่ประเทศอีก 1 ฉบับ เนื้อในจดหมายระบุ ข้อความว่า มาจากศาลจังหวัดธัญบุรี คุณมีหมายจับอยู่ 2 คดี ให้ติดต่อกลับในเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ ตนเองก็รู้สึกแปลกใจว่าถ้าเป็นจดหมายจากศาลทำไมถึงใช้ปากกาเขียนเป็นตัวหนังสือมา ตนจึงให้ทนายความเข้าไปตรวจสอบ พบว่า จดหมายฉบับนี้ศาลไม่ได้เป็นคนส่งมา แต่เป็นนายหน้าประกันเป็นคนส่งมา
 
ต่อมาตนเองจึงให้ทนายความช่วยหาความจริงในเรื่องนี้ จนได้ข้อมูลมาว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2559 เจ้าพนักงานตํารวจ สน.มีนบุรี ได้จับกุมตัว นางสาววิลาวัลย์ มาดําเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์
 
แต่ในวันที่ถูกจับกุมนั้น นางสาววิลาวัลย์ ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตนเอง ได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานตํารวจว่าตนเองชื่อ พุทธชาติ เพิ่มพูล และได้ลงลายมือชื่อว่า พุทธชาติ เพิ่มพูล ในบันทึกการจับกุม และได้ให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริง
 
แต่ นางสาววิลาวัลย์ อ้างว่าทำบัตรประชาชนหาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคัดเอกสารทะเบียนราษฎร์ของตนออกมาให้ นางสาววิลาวัลย์ เซ็นรับผิดในเอกสาร ทําให้พนักงานอัยการนําตัว นางสาววิลาวัลย์ ไปฟ้องต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ในชื่อ นางสาวพุทธชาติ เพิ่มพูล และศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดํา และได้นำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังอยู่ที่เรือนจำ ต่อมา นางสาววิลาวัลย์ ได้ไปติดต่อกู้ยืมเงินจากนายประกัน เพื่อมาประกันตัว โดย นางสาววิลาวัลย์ ได้ใช้ชื่อ พุทธชาติ เพิ่มพูน เหมือนเดิม แต่เนื่องจาก นางสาววิลาวัลย์ ไม่มีบัตรประชาชนของผู้เสียหาย นายประกันช่วยคัดสำเนาทะเบียนราษฎร์ขอตนออก ศาลจึงอนุญาตให้ประกันตัว จากนั้น นางสาววิลาวัลย์ ได้หลบหนีประกันไป ไม่ยอมมาขึ้นศาล ทำให้นายประกันต้องเขียนจดหมายตามตัวตนเองมาขึ้นศาลแทน เพราะถ้าตนเองมาขึ้นศาลนายประกันจะได้เงินคืน 
 
หลังจากตำรวจนำหลักฐานเข้าไปตรวจได้ 7 วัน พบว่าได้ส่งตัวฟ้องผู้ต้องหาผิดตัว แต่ตำรวจกลับไม่ดำเนินการอะไร กลับปล่อยเลยตามเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุให้ตนเองต้องฟ้องกลับ
 
เรื่องนี้มีข้อผิดพลาดหลายอย่างมากที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ตรวจสอบให้ดีก่อจะนำชื่อตนเองไปฟ้องศาล คือ นางสาววิลาวัลย์ (ผู้ต้องหาตัวจริง) แค่บอกชื่อตนเองกับตำรวจด้วยวาจา แต่ตำรวจเชื่อได้สนิทใจแล้วว่าผู้ต้องหาชื่อนั้นจริง  อีกทั้งมีการพิมพ์ลายนิ้วมือที่บ่งบอกตัวตนอย่างชัดเจน แต่ทำไม่ไม่ตรวจสอบว่าเป็นคนละคนกัน  หลังเรื่องนี้กระจ่างแล้วว่าตนเองไม่ใช่ผู้กระทำความผิด แต่หน่วยงานรัฐก็ไม่มีการดำเนินการแก้ไขอะไร และทำสำคัญมีการเข้าถือข้อมูลส่วนตัวตนเองได้ง่าย แค่นางสาววิลาวัลย์ บอกว่าทำบัตรประชาชนหาย ก็มีการคัดขึ้นมาใหม่ได้ทันที
 
เรื่องนี้ตนเองสู้คดีอยู่ 6 ปี จนศาลแพ่งชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้หน่วยงานรัฐทั้ง 2 หน่วยงานร่วมกันชดใช้เงินค่าเสียหายให้ตนเอง 20 ล้านบาท เพราะช่วงระหว่างเกิดเรื่อง ตนเองกลับประเทศไทยไม่ได้เลยกว่า 1 ปี เพราะถามกลับมาแล้วก็จะถูกจับดำเนินคดี เพราะชื่อตนเองต้องตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ ธุรกิจตนเองต้องเสียหาย กลับมาถ่ายแบบในประเทศไทยไม่ได้ 
 
หลังสู้อยู่ 6 ปี ตนเองได้เดินทางกลับมาที่ประเทศไทย ตอนขาเข้าประเทศไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่พอจะเดินทางออกนอกประเทศ กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมต่อหน้าลูก ๆ บอกว่าตนเองมีหมายจับ และควบคุมตนไปที่ห้องควบคุมผู้ต้องหา ตนเองจึงให้ทนายพูดคุยกับเจ้าที่ตำรวจ ตนจึงได้รับอิสรภาพคืน ตนเองคิดว่า ถามเป็นตาสีตาสาอาจถูกจับติดคุกไปแล้ว ตนโชคดีที่พอมีเงินจ้างทนายความมาช่วยเหลือในคดี ทำให้รอดจากการติดคุกฟรี
 
ล่าสุด ตนเองเดินทางไปกองประวัติอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าชื่อตนเองยังมีความผิดอีก 7 คดี มีทั้งคดีเกี่ยวกับการพนันและคดีอื่น ๆ ตอนนี้ตนเองจึงไม่รู้ว่าจะดำเนินการยังไรต่อไปดี เราไปฟัง นายปิยพล บุญมี ทนายความที่เข้ามาช่วยเหลือให้คดีนี้ พูดถึงความยากในการทำคดีนี้
 
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-17.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35
 
 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง