“สายตำรวจ” หนีตาย ถูก “ผู้กอง” ไล่ล่า เหตุช่วยเคลียร์คดียา เรียก 1 ล้านคุ้มครอง !

ฉาวกันต่อกับวงการตำรวจไทย ในกรณีของ “สายตำรวจ” เข้าร้องเพจสายไหมต้องรอด ถูก ผู้กอง ส่งคนตามล่า เหตุผิดใจกัน หลังจากช่วยกันรีดทรัพย์แก๊งค้ายา 5 แสน อ้างจะคุ้มครอง สุดท้ายบิดพ่อค้ายา 

 

 

            วันที่ 4 ก.ย. 66 ตั้ม (นามสมมติ) สายตำรวจ ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า ตนเป็นสายให้ตำรวจมาเกือบ 10 ปีแล้ว เริ่มจากโดนตนจับคดีเสพกัญชา ซี่งเมื่อก่อนมันผิดกฎหมาย เลยเสนอตัวเป็นสายตำรวจคอยบอกพิกัดเขาว่าที่ไหนค้ายา 

 

            ส่วนเรื่องที่มีปัญหากับกลุ่มตำรวจนั้น ในช่วงกลางปี 65 ตนไปเป็นสายให้ตำรวจ ไปตรวจค้นบ้านแห่งหนึ่ง เป็นจุดพักยาเสพติด ย่านตากสิน 19 ได้ยาเสพติดมา 1 แสนเม็ด และจับกุมคนเฝ้ายาได้ 1 คน จากนั้นเจ้าของยาเสพติดได้ติดต่อตนมาให้เคลียร์กับตำรวจให้หน่อย ไม่ให้ขยายผลสืบสวนไปจับตัวเจ้าของ ให้เอาผิดแค่เด็กเฝ้ายา ซึ่งทางฝั่งตำรวจก็เรียกเงินเคลียร์ 1 ล้านบาท ก่อนจะต่อรองจนเหลือ 5 แสนบาท แต่หลังจากจ่ายเงิน มีตำรวจปราบปรามยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้อำนาจในการขยายผลไม่ได้อยู่กับตำรวจท้องที่แล้ว เป็นผลให้ เจ้าของยาถูกจับในปี 66 

 

            หลังจากเจ้าของยาเสพติดถูกจับ กลุ่มเครือข่ายของเจ้าของยา ติดต่อมาหาตนเพื่อจะขอเงิน 5 แสนคืน โดยตำรวจคู่กรณีมีการนัดตนเองไปคุย ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ทว่าตนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงส่งเพื่อนไป เพื่อนของตนจึงถูกตำรวจกลุ่มนี้จับเอาไว้ซักถามหาตน ตนจึงต้องนำคลิปเสียงที่มีการพูดคุยเรื่องการเรียกส่วยยาเสพติด 5 แสนบาท ขู่ให้เขาปล่อยตัวเพื่อนตน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตนถูกตามล่าตัวจากฝั่งพ่อค้ายา และทั้งฝั่งตำรวจ แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตนมาร้องเรียนกับสายไหมต้องรอด คือ กลุ่มตำรวจเขามาคุกคามครอบครัวของตน ส่งคนไปตามหาตนถึงที่บ้าน

 

 

            สำหรับขบวนการนี้มีตำรวจร่วมอยู่ด้วย 5 คน แต่ตำรวจ 2 คน เป็นชั้นผู้น้อยไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ ขณะที่ อีก 3 คน มี ผู้กองพงศ์ ดาบป๊อก และจ่าแจ็ค ซึ่งตนจะได้ส่วนแบ่ง 10% จากเคสพ่อค้ายาแต่ละเคส อย่างในเคสนี้ตนได้ส่วนแบ่งมา 5 หมื่นบาท และถ้าถามว่าตนมาเป็นสายให้ตำรวจมันเสี่ยงไหม มันไม่เสี่ยงเลยถ้าตนไม่มีปัญหากับตำรวจ พวกพ่อค้ายาตนไม่กลัวพวกนั้นทำอะไรตนไม่ได้ แต่ตำรวจถือกฎหมายเขาสามารถจับตนได้ จะออกหมายค้นบ้านตนเมื่อไหร่ก็ได้  ตอนนี้ ตนขอออกมาสู้ดีกว่า สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย อย่างน้อยตนก็สามารถเอาผิดตำรวจทั้ง 3 นายนี้ได้ 

 

            นอกจากนี้ ยาเสพติดที่กลุ่มตำรวจเหล่านี้จับมาได้ เขาจะมีการส่งสำนวนไม่ครบ และนำไปปล่อยต่อ อย่างเช่นในกรณีนี้จับยาเสพติดมาได้ 1 แสนเม็ด เขาส่งสำนวน 6 หมื่นเม็ด และเก็บไว้เอง 4 หมื่นเม็ด จากนั้นจะนำยาเสพติดมาให้ตนเอาไปปล่อยต่อให้เด็กในพื้นที่ แล้วถ้าคนในพื้นที่เหล่านั้นถูกจับอีก ตำรวจเขาก็จะเรียกเงินอีก 

 

 

            ฟาก เอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เล่าว่า เรื่องที่นายตั้มเล่ามา รวมทั้งหลักฐานคลิปเสียงทั้งหมดที่เขามี มันมีความน่าจะเป็นว่าจะเป็นเรื่องจริง ทั้งนี้ มันไม่ได้ตำรวจเกี่ยวข้องแค่ 3 คน มันมีนายตำรวจที่ระดับสูงมากกว่า 3 คนนี้เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งบิ๊กโจ๊ก บอกว่า จะสาวเรื่องราวทั้งหมด เงินที่ถูกตำรวจรีดไถไปอยู่ในกระเป๋าใคร เตรียมตัวรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด ทว่า ในเรื่องนี้ไม่ใช่นายตั้มทำถูก แต่คนที่ผิดกว่าคือตำรวจ สำหรับเคสนี้ตนจะพาไปพบบิ๊กโจ๊ก และพบกับผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8 ที่ท่านได้ตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่ 

 

 

            ด้าน ปรักมาศ พิมเสน นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาระบบและมาตรฐานการคุ้มครองพยาน สำนักงานคุ้มครองพยาน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ให้ความเห็นว่า สำหรับเคสนี้ตัวนายตั้ม ได้ไปยื่นขอคุ้มครองพยานที่หน่วยงานแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้ทางหน่วยงานจะทำการประเมินความไม่ปลอดภัยว่าเข้าข่ายหรือไม่ โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้ประเมิน ซึ่งมีอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นประธาน โดยเราจะดูที่พฤติการณ์ความไม่ปลอดภัยเป็นหลัก ยืนยันว่าในขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน ซึ่งถ้าหากพิจาราณาผ่านแล้ว เราจะจัดสถานที่ปลอดภัย แล้วเจ้าหน้าที่คอยคุ้มครอง ทั้งตัวเขาเองและครอบครัว อย่างไรก็ตามในระหว่างที่รอผลการพิจารณาเราจะไม่ให้เกิดสูญญากาศ จะมีการประสานให้เจ้าหน้าที่ในท้องที่ดูแลไปก่อน 

 

            ขณะที่ นายตำรวจเอ ตำรวจที่ถูกอ้างว่ารีดเงิน กล่าวว่า ตนเป็นคนกลางที่กลุ่มฝั่งตำรวจ ให้ไปเคลียร์กับนายตั้ม ไม่ให้เอาเรื่องพวกเขา ซึ่งตนไม่ได้ยุ่งกับเรื่องค่าใช้จ่ายใด ๆ แค่มาคุยสัญญาใจให้เขาได้คุยกัน เรื่องเสนอผลประโยชน์อะไรตนไม่รู้เรื่องทั้งนี้ตนไม่ได้อยู่กับทีมจับกุมชุดนี้ ส่วนเรื่องที่ทีมนี้รับส่วยหรือไม่ ตนไม่ขอตอบ ถ้าตนตอบว่าไม่มีสังคมคงบอกว่าตนโกหก ให้สังคมเป็นคนตัดสินเองดีกว่า 

 

            ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ตำรวจทุกวันนี้ต้องปรับตัว สังคมมีการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันอาจจะมีแบบนี้มานานแล้วแต่ไม่ได้เป็นเรื่องขึ้นมา แต่ในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้ว ผู้บังคับบัญชาจะต้องลงไปดูแลตัวนายตั้ม เรื่องความปลอดภัย ขณะที่ ฝั่งตำรวจเจ้าของเรื่อง จะต้องมีการเรียกมาสอบปากคำ ถ้าเป็นตามที่นายตั้มอ้างมา ยังไงก็ผิดอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องด้วย ยืนยันว่าไม่เป็นอุปสรรคแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นตนได้นัดตัวผู้เสียหายมาพบตนวันที่ 6 ก.ย. 66