เช้านี้ที่หมอชิต - เรื่องนี้ยาวเป็นหนังชีวิตแน่นอน สำหรับกรณีแฉเพื่อชาติของ นายชูวิทย์ เพราะเกี่ยวโยงกันไปหมดทั้งตัว นายเศรษฐา บริษัทแสนสิริ และบุคคลที่ถูกกล่าวพาดพิงถึงว่าเป็นนอมินี ในการซื้อขายที่ดินย่านทองหล่อ จนได้รับเงินทอนจำนวนหลายร้อยล้านบาท ซึ่งนอกจากการปะทะคารมแล้ว การปะทะกันทางกฎหมายก็เปิดฉากเช่นกัน
ชูวิทย์ ฟ้องกลับ เศรษฐา ข้อหาฟ้องเท็จ
ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นคำฟ้องเอาผิด นายเศรษฐา ทวีสิน และ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ในข้อหาฟ้องเท็จ หมิ่นประมาท และละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมเรียกค่าเสียหาย 90,000 บาท ในกรณีที่ นายเศรษฐา ส่ง นายวิญญัติ มาฟ้องตน ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กล่าวหากรณีหลีกเลี่ยงภาษีซื้อที่ดินย่านถนนสารสิน และขอให้ลบข้อความวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงข้อมูลในครั้งนั้น และเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท
ขณะที่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ยื่นฟ้อง นายเศรษฐา และ นายวิญญัติ เพื่อต้องการให้ความจริงปรากฏต่อหน้าศาล เมื่อฟ้องมาก็ฟ้องกลับ เพราะทันทีที่ นายเศรษฐา ลงชื่อจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตนในฐานะประชาชนก็มีสิทธิ์ตรวจสอบได้ทุกเรื่อง หลังจากนี้จะเดินทางไปยื่นฟ้องที่สภาทนายความให้ตรวจสอบมรรยาททนายความของ นายวิญญัติ กรณีที่เปิดเผย พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล ส่วนวันนี้ (17 ส.ค.) จะเดินทางไปพบกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินไปให้ และต้องการให้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบปากคำ เพราะถือว่าพฤติกรรมของนายเศรษฐาเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบหนึ่ง และจากนั้นก็จะเดินทางไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้สอบสวน บริษัท แสนสิริ ว่ามีการทำสัญญาซื้อขาย กู้ รวมถึงรายรับรายจ่ายทั้งหมดของบริษัท เพราะตัวเองเป็น 1 ในผู้เสียหาย เนื่องจากถือหุ้นแสนสิริ จำนวน 20,000 หุ้น
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังชี้เป้าเพิ่มเติมในกรณีนี้ว่า หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมไปตามหาบุคคลคนหนึ่ง โดยยกบอร์ดขึ้นมา แสดงชื่อ นาง ว. ถือหุ้น 33.33 พร้อมตั้งคำถามดัง ๆ ว่า คน ๆ นี้เป็นพี่สาวของใคร หากตามเจอก็จะไขปริศนาได้อีก จากนั้นยังกล่าวอีกว่า หลังจากนี้แม้จะมีการโหวตให้ นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่จะอยู่ไม่ถึง 3 เดือน เพราะจากหลักฐานที่มาเปิดโปงแสดงให้เห็นพฤติกรรมของ นายเศรษฐา
สาวยันไม่ใช่ แม่บ้านนอมินี กู้เงินซื้อที่ดินพันล้านบาท
ไปต่อกันที่ จังหวัดมหาสารคาม เพื่อตามหาหนึ่งในบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนอมินี ถือหุ้นในบริษัทเอ็นแอนด์เอ็น บุคคลนั้น คือ น.ส.พินิช หลังทราบข่าวว่ามีชื่อเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการแฉของ คุณชูวิทย์ ก็ได้ได้เดินทางแจ้งความตำรวจ สภ.เชียงยืน เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
น.ส.พินิช กล่าวว่า รู้สึกตกใจมากเมื่อ นายชูวิทย์ มีการนำชื่อ-นามสกุล และสำเนาบัตรประชาชนของตนเองไปเผยแพร่ อ้างว่าตนเองกู้เงินเป็นพันล้านบาท ทั้งที่ไม่เคยทำธุรกิจอะไรเลย ยอมรับว่า เคยไปทำงานที่กรุงเทพฯ จริง ทำอยู่ราว 4-5 ปี เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ทำอาชีพแม่บ้านอย่างที่ นายชูวิทย์ กล่าวอ้าง ตอนนั้นไปเป็นลูกจ้างขายของที่ห้างฯ แห่งหนึ่ง
แสนสิริ แจงเพิ่มกรณีนอมินี กรณีการซื้อที่ดินซอยทองหล่อ
ขณะที่ทาง แสนสิริ มีการออกแถลงการณ์ชี้แจงเพิ่มเติมเรื่องนอมินี กรณีการซื้อที่ดินซอยทองหล่อ ยืนยันว่า บุคคลตามที่กล่าวอ้าง ได้แก่ น.ส.พินิช, นายพีระพงษ์, นายสมศักดิ์ และ นายยงยุทธ ไม่ใช่นอมินี และ/หรือ ตัวแทนของแสนสิริ และบริษัทในเครือ บุคคลดังกล่าวเป็นคนของบริษัทเอ็นแอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตั้งแต่ปี 2551
แสนสิริ ซื้อและโอนที่ดินแปลงนี้โดยตรงจากบริษัท เอ็นแอนด์เอ็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่ใช่การซื้อผ่านตัวกลางหรือรับโอนหุ้นตามที่เป็นข่าว และ แสนสิริ ไม่เคยให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ขายแต่อย่างใด ซึ่งในหนังสือสัญญาจำนองจะเห็นชื่อ นายสมศักดิ์ กรรมการซึ่งเป็นบุคคลที่นายชูวิทย์ระบุว่า เป็น รปภ. อยู่ราง ๆ โดยจุดนี้เองที่ คุณชูวิทย์ ตั้งเป็นคำถามว่ามีการตรวจสอบประวัติหรือไม่ในการทำสัญญาที่มีมูลค่าขนาดนี้
ส่วนการจดจำนองเป็นการจำนองเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายของผู้ขาย ซึ่งวงเงินจำนวน 1,000 ล้านบาท เป็นวงเงินที่ครอบคลุมราคาที่ดิน และค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของผู้ขาย อย่างไรก็ตาม แสนสิริ ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่เอ็นแอนด์เอ็น ครบถ้วน และได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาเรียบร้อยถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 06.00-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35