"ความมั่นคงในชีวิต" หากจะส่งไปถึงคนรุ่นหลัง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มองการณ์ไกลไปถึงรุ่นลูก จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก "ประกันชีวิต" ครั้งนี้จะมาพูดคุยเปิดแบบประกัน เผยหลักการซื้อ ที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน
ประกันชีวิต โดยหลักแล้วคือ การที่เราทำสัญญากับบริษัทประกันภัย โดยการจ่ายเงินส่วนหนึ่งเรียกว่า "เบี้ยประกัน" ที่จะได้รับความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต ซึ่งมากน้อยแล้วแต่ตกลงกัน แต่โดยหลักแล้วจะมีรูปแบบดังนี้
1. ประกันชีวิตตลอดชีพ จ่ายทุนประกันให้กับผู้ได้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือมีอายุยืนยาวถึง 99 ปี ซึ่งการทำประกันชีวิตรูปแบบนี้เหมาะกับทำเพื่อเป็นมรดก เพราะเป็นการส่งมอบเงินก้อนให้แก่คนข้างหลัง
2. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือแบบออมทรัพย์ มีความคล้ายคลึงกับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ แต่มีการกำหนดระยะเวลา เช่น สัญญา 20 หรือ 25 ปี ซึ่งหากผู้เอาประกันเป็นอะไรไปภายในระยะเวลาสัญญา บริษัทประกันจะจ่ายเงินชดเชยเท่ากับเงินประกัน แต่หากอยู่จนครบระยะเวลาสัญญาก็จะได้รับเป็นเงินก้อน บวกด้วยผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่บริษัทประกันนำเงินไปลงทุนให้
3. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา คือ กำหนดรยะเวลาชัดเจน เช่น 5, 10, 15 ปี โดยหลักการ คือ คนเราในแต่ละช่วงอายุจะมีความเสี่ยง และความห่วงไม่เหมือนกัน เช่น คนอายุ 30 ที่มีความห่วงเรื่องลูกและบ้าน หรือคนอายุ 55 ที่ลูกเรียนจบและไม่ต้องผ่อนบ้านแล้ว ดังนั้น จึงเกิดความต้องการซื้อความคุ้มครองเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งหากผู้เอาประกันเป็นอะไรไปภายในระยะเวลาสัญญา ก็จะได้รับเงินประกัน แต่กลับกัน หากอยู่จนครบระยะเวลาสัญญา ก็จะไม่มีเงินให้ โดยประกันชีวิตรูปแบบนี้จะมีเบี้ยประกันที่ราคาถูกมาก
4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ ให้ควาามคุ้มครองในช่วงการทำงาน โดยผู้ซื้อประกันจะจ่ายเบี้ยประกันไปจนถึงอายุ 60 ปี ซึ่งหากผู้เอาประกันเป็นอะไรไปก่อนอายุ 60 ปี ก็จะได้รับทุนประกันชีวิต แต่หากอยู่เกินอายุ 60 ปี หลังจากอายุ 60 ปีไปแล้ว จะได้รับเงินเป็นรายปี เพื่อให้มีเงินใช้ในยามเกษียณ
5. ประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันเนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง เป็นประกันที่จ่ายเบี้ยประกันเพื่อความคุ้มครองส่วนหนึ่ง และเพื่อการลงทุนส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ซื้อประกันสามารถปรับสัดส่วนได้ตามความต้องการ
หลักการซื้อประกันชีวิต
1. ตรวจสอบความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงในที่นี้หมายถึง "ความเสี่ยงทางการเงิน" หากเราเกิดเสียชีวิตขึ้นมา จะส่งผลกระทบทางการเงินต่อคนข้างหลังหรือไม่ ? เช่น คนที่เรียนจบใหม่ ยังไม่มีภาระและครอบครัว ก็อาจจะมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่าคนที่มีภาระครอบครัวแล้ว เป็นต้น
2. ขนาดของเงินประกันที่คุ้มครอง ประเมินการใช้จ่ายภายในครอบครัว สมมติว่าเราเจ็บป่วย หรือกรณีร้ายสุด คือ เป็นอะไรไปขึ้นมา ครอบครัวจะต้องใช้เงินเท่าไร โดยคำนวณเผื่อไว้อย่างต่ำ 2-3 ปี และเลือกแบบประกันที่มีทุนประกันครอบคลุม
3. เงินทุนในการซื้อ ซึ่งเบี้ยประกันมีความสัมพันธ์กับแบบประกันที่เลือก โดยผู้ซื้อประกันสามารถปรึกษาตัวแทนประกัน หรือบริษัทประกัน บอกความต้องการ และกำลังในการส่งจ่าย เพื่อให้เขาเสนอแบบประกันที่เหมาะสมให้เราเลือกได้
4. ความมั่นคงของบริษัท ที่ต้องตรวจสอบ และเลือกให้ดีด้วย
ประกันชีวิตมีความจำเป็นต้องซื้อหรือไม่ ? หากตอบในมุมของ "โคชหนุ่ม" ประกันถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ควรซื้อ แต่ต้องซื้อให้เหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง หรือบางคนอาจจะซื้อประกันชีวิตไว้เป็นตัวหลัก และซื้อประกันสุขภาพเป็นตัวเสริมเพื่อได้รับความคุ้มครองเมื่อเจ็บป่วย ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน
พบกับ "โคชหนุ่ม" และ "กาย สวิตต์" ได้ใน "เงินทองของจริง" ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.15-9.25 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และช่องทางออนไลน์ TERO Digital