เช้านี้ที่หมอชิต - เส้นทางเข้าสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องบอกว่าไม่ง่าย แม้เราจะเห็นความพยายามสื่อสารจากนายพิธา ไปถึงเพื่อนสมาชิกในสภา ทั้ง สส.และ สว. ว่านี่คือโอกาสที่จะคืนความปกติให้กับการเมือง แต่ดูเหมือนการขานรับจะไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเงื่อนไขการแก้ไขมาตรา 112 ยังคงเป็นยาขมสำหรับก้าวไกล และ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลในเวลานี้
เราจะมาสำรวจแรงต้านกันหน่อย เริ่มจากที่ประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวานมีมติชัดเจน ไม่ส่งบุคคลลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคมีจุดยืนชัดเจน ไม่สนับสนุนการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่จะไม่สนับสนุน นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี แน่นอน
โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ย้ำชัดเจนว่าจุดยืนของพรรคในเวลานี้และในอนาคต จะต่อสู้และไม่สนับสนุนรัฐบาลที่มีวาระผลักดันการแก้ไขมาตรา 112 หรือหากไม่ใช่นายพิธา แต่ในรัฐบาลยังมีพรรคก้าวไกล พรรครวมไทยสร้างชาติก็จะไม่สนับสนุนเช่นกัน
น่าสนใจว่า หากมองจากจุดยืนนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ส่งสารไปถึงพรรคใดพรรคหนึ่งใน 8 ร่วมจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ โดยเฉพาะคำว่า การมีพรรคก้าวไกลอยู่ในรัฐบาล เพราะมองในอีกมุมหนึ่ง คือ หากมีการถีบก้าวไกลออกไปเป็นฝ่ายค้าน 36 เสียงของรวมไทยสร้างชาติ บวก สว.สายพลเอกประยุทธ์ ก็พร้อมโหวตให้พรรคนั้นใช่หรือไม่ ซึ่งจุดยืนนี้ดูเหมือนไปสอดคล้องกับการลาออกจากพรรคของ พลเอกประยุทธ์ เพราะเท่ากับปลดเงื่อนไขของหลายพรรคที่เคยบอกจะไม่รวมกับพรรค 3 ป. แต่เมื่อออกไปแล้ว หลายพรรคก็อาจอาศัยช่วงเวลาที่เหมาะสม ขานรับตรงนี้ในการจัดตั้งรัฐบาล หากคุณพิธาไม่สามารถผ่านการโหวตในสภาได้
พรรคพลังประชารัฐ มีการประชุมเช่นกัน มีรายงานว่าช่วงหนึ่ง พลเอกประวิตร กล่าวกลางที่ประชุมว่า พรรคเราต้องเป็นเอกภาพ เราจะไม่เอาคน ไม่เอาพรรคที่แก้มาตรา 112 และวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ อาจจะโหวตงดออกเสียง
ต่อมามีการแถลงย้ำในทิศทางเดียวกันจาก ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือ ว่าเป็นนโยบายชัดเจนว่าเราไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่จะเสนอแก้มาตรา 112 ส่วนจะงดหรือปฏิเสธค่อยว่ากันอีกที นอกจากนี้ยังเปรยอย่างมีนัยยะด้วยว่า หากโหวตครั้งแรกไม่ผ่าน ครั้งต่อไปก็ต้องให้โอกาสพรรคอันดับสอง ในการรวบรวมพรรคร่วม
เช่นเดียวกัน มติที่ประชุมพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ร่วมมือกับพรรค หรือบุคคลที่มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112
ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา แถลงว่า จุดยืนคือไม่ควรจะปรับปรุงแก้ไขมาตรา 112 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 การเลือกนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะมีขึ้น จะพิจารณาจากการดำเนินการเรื่องดังกล่าว
หมายความว่า หากเป็นไปตามนี้ โอกาสของพรรคก้าวไกลที่จะได้เสียงจาก ชาติไทยพัฒนา ก็ดูริบหรี่เช่นกัน
ไปต่อกันที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่มีประวัติศาสตร์บนถนนการเมืองยาวนานที่สุด แต่ขณะนี้ยังไร้หัว เพราะองค์ประชุมล่ม ทำให้ไม่สามารถเลือกหัวหน้าพรรคได้ ซึ่งก่อนหน้านี้แม้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ประกาศว่าจะลงชิงหัวหน้าพรรค และจะเสนอให้พรรคสนับสนุนนายพิธานั้น ล่าสุด นายอลงกรณ์ได้ถอนตัวไปแล้ว
ขณะที่ ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข หนึ่งในผู้ประกาศชิงเก้าอี้หัวหน้า กล่าวว่า แม้จะไม่มีมติ เพราะยังไม่มีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่ด้วยอุดมการณ์ของพรรค มีรากเหง้าที่มาต้องดำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค จะใช้ดุลพินิจเองได้ นอกจากนี้ช่วงเลือกตั้ง พรรคตอบคำถามสื่อต่อหน้าประชาชนว่า จะไม่แก้ไขและยกเลิกมาตรา 112 ดังนั้นไม่ว่าเราจะมีผู้แทนเหลือน้อยสักกี่คน แต่เราก็ต้องเคารพต่อคะแนนเสียงที่เลือกเรามา
นี่ก็คือทิศทางของ สส.อีกขั้วหนึ่ง ซึ่งหากรวมชาติพัฒนากล้า ที่ยังรอมติที่ประชุมวันนี้ กับพรรคเล็กอีก 4 พรรค ที่มีแนวโน้มงดออกเสียง รวมแล้ว 188 เสียง คิดว่าไม่น่าจะโหวตให้คุณพิธา ขณะที่เสียง สว.ซึ่งก่อนหน้านี้ พรรคก้าวไกลเชื่อว่ารวมเสียงได้ 64 เสียงตามเป้าหมาย แต่หากจับสัญญาณของ นายชัยธวัช เลขาธิการพรรคก้าวไกล ล่าสุดที่ออกมา บอกว่ากำลังมีการกดดันอย่างหนักไปในกลุ่ม สว. เสียงที่เชื่อว่าจะได้ ก็ดูจะไม่แน่นอนเสียแล้ว ดังนั้น 13 กรกฎาคมนี้ ก้าวไกล อยู่ในสถานการณ์เหนื่อยแน่นอน
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35