ข่าวเย็นประเด็นร้อน - นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เผยในการประชุม กกต. ที่ประชุมยังไม่มีมติเรื่องนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวกล ถือครองหุ้นไอทีวี จำนวน 42,000 หุ้น เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม ไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
กกต.ยังไม่มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญ
การเมืองวันนี้ ในขณะที่เหลือเพียง 3 วัน จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เรื่องที่งวดเข้ามาเหมือนกัน และอาจเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งทีสำคัญในการโหวตเลือกนายกฯ ก็คือการที่ กกต. จะมีมติต่อกรณีการถือหุ้นไอทีวีของคุณพิธา ว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่
ที่ต้องจับตาสำหรับประเด็นร้อนทางการเมืองในวันนี้ คือกรณีถือหุ้นสื่อของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ซึ่งอยู่ที่ กกต. ว่าหารือกันแล้ว จะมีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความหรือไม่ โดยผู้ยื่นร้องในเรื่องนี้ มีทั้งคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คุณนพรุจ วรชิตวุฒิกุล และ สว.เสรี สุวรรณภานนท์ ในฐานะคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่นำหลักฐานการถือหุ้นไอทีวีของคุณพิธา ส่ง กกต. พร้อมจี้ กกต. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 151 ของ พรป .เลือกตั้ง สส. โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัคร แต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง จากกรณีถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น โดยผู้ร้องเห็นว่า เป็นการถือครองหุ้นสื่อ เข้าข่ายคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่ง กกต. ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ซึ่งก็มีรายงานว่า คณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงตามความผิดมาตรา 151 สรุปข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว เตรียมเสนอต่อที่ประชุม กกต. พิจารณาวันนี้ และคาดว่าที่ประชุม กกต. จะมีมติส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า คุณพิธา ต้องพ้นจากความเป็น สส. หรือไม่ โดยให้สำนักงานดำเนินการทันที
ตามขั้นตอนนั้น หาก กกต. มีมติ และเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ที่ปกติศาลรัฐธรรมนูญ จะมีการประชุมประจำสัปดาห์ในวันพุธ ซึ่งสัปดาห์นี้จะตรงกับวันที่ 12 กรกฎาคม หากศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัย และมีคำสั่งให้คุณพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ก็อาจมีผลต่อการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้
ขณะที่ คุณพิธา เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือไปถึง กกต. ในการคัดค้านการนำเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยกรณีตนเองถือหุ้นสื่อไอทีวี เนื่องจากขั้นตอนกระบวนการสอบสวนของ กกต. ไม่ได้เปิดโอกาสให้ตนเองชี้แจงข้อกล่าวหา อีกทั้งระยะเวลาไม่สมเหตุสมผล จึงต้องทำหนังสือขอความเป็นธรรม ตนพร้อมชี้แจงทุกข้อกล่าวหาที่มีการร้องเรียน รวมถึงเรื่องบัญชีทรัพย์สินฯ ที่แจ้งกับ ป.ป.ช. มีหลักการประเมินราคาทั้งสิ้น
ส่วนการเจรจากับ สว. ในการสนับสนุนโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นไปในทิศทางที่ดี และไม่มีแผนสำรอง หากโหวตนายกรัฐมนตรี 3 ครั้งแล้วยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ก้าวไกล ค้าน กกต. ทำผิดขั้นตอนยื่นศาล รธน. คดีหุ้นไอทีวี
ด้านคุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ส่งหนังสือด่วนถึง กกต. คัดค้านการเตรียมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคุณสมบัติการเป็น สส. ของคุณพิธา กรณีถือหุ้นไอทีวี เนื่องจากมีความเร่งรัดเกินกว่าเหตุ จนอาจเป็นการกระทำโดยไม่เป็นกลาง ซึ่งจะขัดต่อระเบียบของ กกต. เอง เนื่องจากตามขั้นตอน เมื่อมีข้อร้องเรียน คณะกรรมการต้องไต่สวน สืบสวน รวบรวมข้อเท็จจริง และให้ผู้ถูกร้องเข้าไปชี้แจง แต่กรณีนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อเท็จจริงให้คุณพิธาทราบ และยังไม่เรียกไปชี้แจงด้วย ดังนั้นการเร่งรัดข้ามขั้นตอน ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญทันที อาจทำให้สังคมตั้งคำถามว่ามีเป้าประสงค์ทางการเมืองหรือไม่
ดิเรกฤทธิ์ เร่ง กกต. ส่งศาลวินิจฉัย พิธา ก่อนโหวตนายกฯ
มีความเห็นของ สว. ต่อเรื่องนี้ คุณดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ให้สัมภาษณ์กรณี กกต. เตรียมส่งเรื่องคุณพิธาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จะส่งผลกระทบต่อการโหวตนายกฯ ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการโหวตเลือกนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา อำนาจตรงนี้อยู่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ที่ระบุว่า สมาชิกรัฐสภาต้องเลือกนายกฯ จากผู้มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาคือที่คุณพิธา ถูกกล่าวหาอยู่ มีคุณสมบัติ ณ วันที่จะโหวตเลือกหรือไม่ ซึ่งองค์กรที่จะวินิจฉัยคือศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนการกลั่นกรองสอบสวนเป็นหน้าที่ของ กกต. ที่ต้องรีบส่งศาลวินิจฉัย ต้องทำให้เร็วที่สุด เพื่อความชัดเจนว่าจะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ายังไม่ชัดเจน ต้องมีการเลื่อนโหวตนายกฯ ในวันที่ 13 กรกฎาคม หรือไม่ คุณดิเรกฤทธิ์ บอกว่า ขึ้นอยู่กับที่ประชุมรัฐสภา และสมาชิกทั้ง 750 คน จะเห็นประเด็นว่าถ้าเลือกแล้วไม่มีปัญหาทั้งสภา ก็เดินต่อไปได้ แต่ถ้าเห็นว่าเลือกแล้วมีปัญหา ก็สามารถใช้มติของรัฐสภาในการเลื่อนได้ ถ้ามีเหตุผลจำเป็นเหมาะสม เพื่อประโยชน์การทำงานของประเทศ
เสรี ขู่ 7 พรรค หนุน พิธา เป็นนายกฯ ระวังถูกยุบพรรค
แต่ความเห็นที่ร้อนแรงเป็นของ สว. ท่านนี้ คุณเสรี สุวรรณภานนท์ ที่ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ว่า การที่ กกต.จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นแนวทางและวิถีทางที่ทำให้เกิดชัดเจน และทำให้ถูกต้องในเรื่องความเห็นที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นในสภาฯ หรือนอกสภาฯ และไม่ใช่เรื่องสกัดคุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ทั้งหมดเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้บุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติที่ไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนั้นการทำหน้าที่ของ สส.และ สว. จึงต้องดูตามมาตรา 272 รวมทั้งต้องดูในเรื่องของมาตรา 159 มาตรา 160 และ 98(3) ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่สำคัญ พร้อมเรียกร้อง สส. และ สว. เลือกคนที่มีคุณสมบัติไม่มีลักษณะต้องห้าม คือห้ามถือหุ้นสื่อไอทีวี ตามที่ปรากฏ การทำหน้าที่ของ สส. และ สว. ไม่ต้องรอศาลธรรมนูญ เพราะคุณสมบัติในเรื่องข้อห้ามดังกล่าวถือว่ามีความผิดในตัวเองอยู่แล้ว
ส่วนการที่ กกต. จะส่งศาลธรรมนูญ เพื่อหาข้อยุติให้ชัดเจน การถือหุ้นสื่อเป็นเหตุให้ขัดต่อ พร้อมแสดงความเป็นห่วง 7 พรรค ที่ไปลงนาม MOU จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล จะกล้าตัดสินใจเลือกคนที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนหรือไม่ เพราะจะกลายเป็นเลือกคนที่ขาดคุณสมบัติเท่ากับขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเปรียบเหมือนปลาในข้องเดียวกัน ถ้ายังเลือกคนที่ขาดคุณสมบัติ จะส่งผลให้ 7 พรรคเกิดปัญหา ฝากให้ทั้ง 7 พรรคไปพิจารณาถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้
ส่วน สว.ที่จะโหวตให้คุณพิธา มีประมาณ 5 คน ส่วนที่อาจมี สว.บางคน ประกาศจะโหวตให้กับพรรคเสียงข้างมากเป็นพลังเงียบ คุณเสรีย้ำว่า พลังเงียบก็คือเงียบ เพราะที่เห็นในขณะนี้มีแต่ สว.ที่ถอย และจะไม่เลือกคุณพิธา และถ้ามีจริงก็ขอให้แสดงตัว เพื่อให้ประชาชนได้เห็น
ประเสริฐ เชื่อ พิธา ถือหุ้นไอทีวี ไม่กระทบโหวตนายกฯ
ในส่วนของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลนั้น คุณประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี 8 พรรคร่วม นัดหารือในวันพรุ่งนี้ว่า จะเป็นการพูดคุยกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 กรกฎาคม เป็นหลัก ส่วนกรณี กกต. เตรียมประชุมส่งเรื่องหุ้นไอทีวีของคุณพิธาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม นั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้อยู่ในหัวข้อการพูดคุยในวันพรุ่งนี้ แต่หากดูจากข่าวคำร้องที่ กกต.จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงคำร้องที่คุณพิธา ยื่นไปยัง กกต. ขอให้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อว่า กกต.จะให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกร้องคือคุณพิธา และเชื่อว่าหากมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา คุณพิธาและพรรคก้าวไกล จะสามารถตอบคำถามและชี้แจงเรื่องนี้ได้ มั่นใจว่าไม่กระทบกับวันที่ 13 กรกฎาคม การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะยังคงดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เมื่อถามว่า ต้องมีการพูดคุยกันหรือไม่ว่าหากโหวตครั้งแรกไม่ผ่าน พรรคร่วมรัฐบาลเดิมอาจเสนอชื่อคนแข่ง คุณประเสริฐ บอกว่า คิดว่าวันพรุ่งนี้ อาจมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะได้รายละเอียดมากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น หากไปถามบ่อย ๆ ก็จะดูอย่างไรอยู่ ต้องให้เกียรติเขาในฐานะที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเป็นพรรคหลักที่ไปประสานงานกับ สว. โดยพรรคก้าวไกล ยืนยัน ประสานเสียง สว. ได้ครบ แต่คงเปิดเผยไม่ได้
อนุทิน ย้ำจุดยืน ไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อย
ส่วนพรรคขั้วรัฐบาลเดิม คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวย้ำถึงจุดยืนในการโหวตเลือกนายกฯ ว่า พรรคออกแถลงการณ์ไปแล้ว เรื่องบุคคล พรรคไม่เคยกำหนด แต่ดูในเรื่องของอุดมการณ์ แนวทางพรรคการเมือง แบบนี้ไปได้ไหม แบบนี้ไปไม่ได้ เพราะอะไร ก็ให้ประชาชนเข้าใจ ขอให้ไปดูในแถลงการณ์ พรรคภูมิใจไทยยืนอยู่ตามเจตนารมณ์นั้น
เมื่อถามถึงโอกาสตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยด้วยกลุ่มรัฐบาลเดิม คุณอนุทิน บอกว่า “ไม่มีซีกไหนแล้ว ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน มันจบไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีรัฐบาล ยังไม่มีฝ่ายค้าน แต่ละพรรคมีจุดยืนอย่างไร ภูมิใจไทย มีจุดยืนอย่างไร เราก็พูด ไม่เอาแก้ไข ไม่เอายกเลิก ม.112 ไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อย มีอยู่ 188 เสียง จะเอาตรงไหนไปแข่ง สมัยก่อนผมก็พูดว่า จะไม่ยอมให้ได้รัฐบาลที่มาโดยเสียง สส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่งแล้วได้วุฒิสภามาช่วย ตอนนี้ผมก็ยังรักษาคำพูด มันจะมาเอา สส. ส่วนน้อยมาบวก สว. แล้วได้เป็นรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยไปแบบนั้นไม่ได้ มันค้านกับจุดยืนของเรา อย่าลืมว่าวิธีนี้ได้ สว. มาช่วย แล้วหลังจากนั้นจะอยู่อย่างไร ไม่มีเขาช่วยมันไปต่อไม่ได้
พีระพันธุ์ ยัน รทสช ไม่เสนอแคนดิเดตชิงนายกฯ
คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก เพื่อย้ำอีกครั้งว่า วาระการประชุมพรรค รทสช. พรุ่งนี้ จะให้พิจารณา เพื่อมีมติ ไม่เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคทั้งสองคน เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่จะทำให้เกิดผลเสียต่อบ้านเมือง และจะไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบาย หรือ แนวทางการทำงานที่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 การแบ่งแยกการปกครอง การล้มล้างสถาบันครอบครัว ระบบการศึกษา วัฒนธรรมประเพณีที่ดี และสถาบันหลักทั้งสามของชาติ อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมือง
คุณพีระพันธุ์ ระบุด้วยว่า ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่ต้องวิเคราะห์วิจารณ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรทั้งสิ้น หน้าที่ของเรา คือ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้บ้านเมืองตกอยู่ในอันตราย จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่รักชาติรักแผ่นดิน ให้ละทิ้งความบาดหมาง และหันกลับมาทำหน้าที่ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป ลืมความแตกแยก หันกลับมาช่วยกันทำหน้าที่ ที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอนของเรา หากบ้านเมืองล่มสลายทุกท่านก็ล่มสลายตามไปด้วย ทุกอย่างที่แต่ละท่านสร้างสมมา ก็จะล่มสลายตามไป สำหรับ รทสช.แม้เป็นพรรคเล็ก แต่สู้เสมอกับภัยของชาติ สู้ด้วยใจทะนงเช่นเดิม สู้ไปด้วยกัน
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35