เช้านี้ที่หมอชิต - แม้พรรคก้าวไกลจะรวมเสียงของ สส.ได้ถึง 312 เสียง เป็นเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรแน่นอนแล้ว แต่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา หมายความว่าหากไม่มีเสียงจากพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามมายกมือให้ รัฐบาลพิธาจะต้องพึ่งเสียง สว.อีก 64 เสียง เพื่อให้ได้ 376 เสียงในการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่จากการเช็กท่าทีล่าสุดของ สว. ความหวังของคุณพิธาในการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ดูจะริบหรี่ลงทุกที
ก่อนหน้านี้หลังการเลือกตั้งจบลงใหม่ ๆ เราเคยเช็กเสียงของ สว. ซึ่งหลายคนยืนยันว่าจะโหวตตามเสียงข้างมากของประชาชน คือ หากนายพิธารวมเสียงข้างมากของสภาได้ ก็จะโหวตให้ เดิมทีเคยมี สว.แสดงจุดยืนโหวตให้คุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ราว 20 คน แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับที่เราได้พูดคุยกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมแห่งชาติ ว่าในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 13 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ จะเหลือ สว.โหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แน่ ๆ เพียง 6 คนเท่านั้น โดยเสียงที่เราเช็กความแน่นอนแล้วได้แก่ นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล, หมออำพล จินดาวัฒนะ, นายทรงเดช เสมอคำ, นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์,นายมณเฑียร บุญตัน และนางประภาศรี สุฉันทบุตร ขณะที่คนอื่น ๆ อาจหันมาใช้วิธีงดออกเสียงแทน
ทีมข่าวของเรามีโอกาสสอบถามไปยัง นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยยืนยันว่าจะยึดหลักการเดียวกับการโหวตในปี 62 คือ หากใครรวมเสียง สส.ได้เกิน 250 ก็จะโหวตให้เป็นนายกฯ ทันที เหมือนการโหวตให้พลเอกประยุทธ์
ล่าสุด ครูหยุย บอกว่า จากการที่ตนได้คุยด้วย ยังมี สว.ติดใจท่าทีของคุณพิธา โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับมาตรา 112 เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งปกติแล้วท่านไม่ทรงยุ่งกับการเมือง การเมืองไม่ควรจะยุ่งกับท่าน พอการเมืองจะไปยุ่งหรือไปแก้ไข หรือบางกระแสถึงขั้นยกเลิก ทำให้ สว.รับไม่ได้ ซึ่งคำว่ารับไม่ได้ เป็นประเด็นร่วมที่เห็นตรงกันมาก ขณะที่หลายคนมีประเด็นอื่นที่ติดใจ เช่น การขับเคลื่อนให้เกิดการแยกรัฐปัตตานีหรือล้านนา หรือกรณีการแทรกแซงบริบทของโรงเรียน ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย การเมืองไม่ควรไปยุ่ง แต่การเมืองไปยุ่งมากจนทำให้ระบบการดูแลเรื่องระเบียบ ขนบธรรมเนียมประเพณี สั่นคลอนไปหมด ขณะที่บางท่านก็ยังติดใจเรื่องการเปลี่ยนวันชาติ นึกยังไงจะไปเปลี่ยนจากวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันที่ 24 มิถุนายน หรืออย่างล่าสุด แต่งเครื่องแบบปกติขาวรับเสด็จ เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปชูสามนิ้ว จึงมีความรู้สึกว่าไม่เป็นผู้ใหญ่พอ อันนี้เป็นเรื่องที่ สว.ติดใจกัน
เรายังมีโอกาสสอบถามมุมมองในเรื่องนี้กับ รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ในเรื่องนี้เพิ่มเติม ซึ่งอาจารย์มองว่าสัญญาณที่ออกมาของเกมนี้ จะนำไปสู่การเบี้ยวของพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยมีวาระพิเศษคือ เจ้าของพรรคตัวจริงต้องได้กลับบ้าน แต่ถ้าคนของเพื่อไทยไม่ได้เป็นนายกฯ การกลับบ้านของเจ้าของพรรคจะมีอุปสรรค
การเบี้ยวของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากถูกบีบจากปีกขั้วอำนาจเดิม และปีกของ สว.ยื่นคำขาดเลยว่า ถ้าไม่ตัดสินใจดีดก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะคุณพีระพันธุ์ จะเป็นก่อน และถ้าคุณพีระพันธุ์ เป็นนายกฯ แล้ว พรรคเพื่อไทยจะเปลี่ยนใจทีหลังก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ พรรคเพื่อไทย กำลังตัดสินใจ ถ้าต้องการดูแลเจ้าของพรรคให้กลับบ้านอย่างราบรื่น ก็ต้องเบี้ยวพรรคก้าวไกล นี่คือสัญญาณที่ส่งออกมาตรง ๆ
สังเกตท่าทีแกนนำของ สว. เรียกได้ว่าไม่เกรงอกเกรงใจใคร ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะคิดอย่างไรไม่สน นี่คือเกมที่ต้องการบีบก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ชัดเจนที่สุด ณ ตอนนี้ และเกมนี้ไม่ใช่จินตนาการ แต่เกมนี้กำลังเป็นปฏิบัติการจริง
อาจาย์ธนพร บอกด้วยว่า ให้จับตาวันที่ 11 กรกฎาคม ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะประชุมพรรค สำคัญมาก ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีมติส่งคุณพีระพันธุ์ ลงแข่งกับคุณพิธา ประเทศไทยจะได้นายกฯ ชื่อพีระพันธุ์ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผลเดินไปถึงตรงนั้น เราจะเห็นพรรคเพื่อไทยจะจัดรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกล
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35
+ อ่านเพิ่มเติม