เช้านี้ที่หมอชิต - การโหวตเลือกประธานสภาฯ ที่เพิ่งผ่านไป ยังมีสัญญาณบางอย่างให้เราต้องถอดรหัสกันต่อ และเกี่ยวพันอย่างยิ่งกับโอกาสในการเป็นนายกรัฐมนตรีของ คุณพิธา เรานำประเด็นนี้ไปคุยเรื่องนี้กับนักวิชาการ 3 ท่าน มีทั้งมุมมองที่เหมือนและต่าง เป็นอย่างไรมาติดตามกัน
นักวิชาการท่านแรก อาจารย์ ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย บอกว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับการที่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ได้รับเสียงโหวตเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 จำนวน 312 เสียง เพราะอย่าลืมว่าตัวเลขจริงในการโหวตนายกรัฐมนตรีคือ 376 เสียง โจทย์คือ ก้าวไกลยังขาดอีก 64 เสียง และอีกประเด็นที่สำคัญคือ อย่าคิดว่าอีกขั้วจะไม่เสนอชื่อแข่ง เพราะตอนเลือกรองประธานสภาฯ คนที่ 1 จากก้าวไกล พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ คุณวิทยา แก้วภราดัย แข่ง กินเวลาโหวตไปเกือบ 4 ชั่วโมง ในขณะที่ชื่อจากเพื่อไทย ผ่านฉลุย ไร้การเสนอชื่อแข่ง ตรงนี้ก็มีนัยสำคัญ
ต่อมา ยังมีสัญญาณมาจาก คุณพีระพันธุ์ ระบุว่า ท่านสู้ไม่ถอย ทั้งยอมลาออกจาก สส. ซึ่งมีวาระ 4 ปี มาทำหน้าที่เลขาธิการนายกฯ ซึ่งมีเวลาเหลือแค่ราวสิบกว่าวัน ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เมื่อใดที่ก้าวไกลเสนอชื่อ พิธา เป็นนายกฯ ชื่อของคุณพีระพันธ์ ก็จะปรากฏขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก และมีแนวโน้มจะเป็นโหวตแบบม้วนเดียวจบด้วย เนื่องจากฝั่งนี้มีเสียง สว.ตุนไว้ในมือ ยังไงก็เกิน 376 เสียง ความชอบธรรมทางการเมืองของคุณพิธาก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนี้ว่ากันด้วยเกมการเมือง เมื่อรัฐธรรมนูญยังไม่แก้ มันก็เปิดช่องให้ทำได้
อาจารย์ธนพร ยังบอกด้วยว่า สัญญาณนี้ยังส่งไปถึงพรรคเพื่อไทยด้วย คือถ้าเพื่อไทยอยากได้นายกฯ แล้วผ่านง่าย ๆ เหมือนโหวตให้อาจารย์วันนอร์ หรือนายพิเชษฐ์ ทางนี้ก็ยกมือให้ได้ แต่เงื่อนไขสำคัญคือ รีบถีบก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านเสีย ซึ่งเราก็เห็นอาการแปลก ๆ ของเพื่อไทยในทิศทางนี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีอีก 77 เสียง ที่งดออกเสียง ไม่เลือกทั้งตัวแทนจากก้าวไกลและรวมไทยสร้างชาติ อาจารย์ธนพร มองว่า นี่เป็นเสียงที่ไม่เอาก้าวไกลเช่นกัน เพียงแต่ไม่ใช่เนื้อเดียวกับรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถ้าเพื่อไทยจะอ้างเรื่องสอดไส้การนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง หรือก็รู้ ๆ กันว่าหมายถึงคดีตามมาตรา 112 ด้วย แล้วฉีก MOU เสียงกลุ่มนี้ก็จะเป็นเสียงที่เพื่อไทยเจรจาได้ ซึ่งเชื่อว่าในกว่า 70 เสียงนี้ นอกจากภูมิใจไทย ก็จะมีพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหมายความว่าจะได้เสียง สว.สายลุงป้อมมาด้วย
ดังนั้น ความหมายของการเสนอชื่อ คุณวิทยา ขึ้นชิงกับก้าวไกลเมื่อวานนี้ แต่ไม่มีการชิงในส่วนของเพื่อไทยเลย ก็คือ สารที่ทางรวมไทยสร้างชาติส่งไปถึงเพื่อไทย ว่าจะรับอ็อปชันนายกฯ แบบไม่มีก้าวไกล หรือจะอยู่กับขั้วเดิม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ชื่อนายกฯก็จะเป็น นายพีระพันธ์ ทันที และไม่ต้องกลัวว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยจะมีปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญไม่มีกรอบเวลาว่าต้องรวมเสียงให้ได้เกิน 250 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสร็จตอนไหน จะใช้เวลาเป็นร้อยวันก็ได้ เหมือนที่เยอรมัน เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ก็เคยเป็นแบบนี้ ระหว่างนั้นรัฐบาลลุงตู่ก็รักษาการไปเรื่อย ๆ
ขณะที่ อาจารย์สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า มองว่า ตัวเลข 312 เสียงที่พรรคก้าวไกลได้จากการโหวต คุณปดิพัทธ์ สามารถทำให้ก้าวไกลอุ่นใจได้ระดับหนึ่งว่า พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคยังคงเหนียวแน่น แต่ก็มีมุมมองคล้าย ๆ กับอาจารย์ธนพร ว่าการโหวตนายกฯแบบม้วนเดียวจบ โดยมีการเสนอชื่อนายพีระพันธ์แข่ง และปาดหน้าคว้าเก้าอี้ไป ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ตัวแปรหลักอยู่ที่ 77 เสียง ที่งดออกเสียงวันนี้ ซึ่งเบื้องต้นประเมินกันว่าอาจจะเป็นเสียงจากพรรคภูมิใจไทย ที่ปล่อยฟรีโหวตว่าจะเอาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่มองเรื่องนี้ต่างออกไปก็คือ อาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล โดยมองว่าการถอยของก้าวไกลในการเสนอชื่อ อาจารย์วันนอร์ แล้วยอมให้เพื่อไทยรุก สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้เพื่อไทย สะบัดก้าวไกลออกยากมาก เพราะถูกมัดติดกันมากขึ้น ดังเช่นตัวเลขที่ออกมา 312 การถอยของก้าวไกลครั้งนี้ ที่สะท้อนความมีเอกภาพ และยังได้เสียงของอีกฝั่งมาโหวตให้ด้วยอีก 3 เสียง การถอยนี้จึงเป็นประโยชน์ของก้าวไกลมากกว่า จะทำให้ พิธา มีโอกาสเป็นนายกฯมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมีความชัดเจนขึ้นของสองพรรคว่า หากคุณพิธาโหวตครั้งแรกไม่ผ่าน ก็จะมีโอกาสครั้งที่ 2 โดยพรรคลำดับสองไม่เสนอชื่อแข่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ และการได้โอกาสอีกครั้งของก้าวไกลมีความสำคัญมาก เนื่องจากการโหวตนายกฯจะไม่ใช่การโหวตลับ จะรู้ว่าใครโหวตหรือไม่โหวตให้ จึงมีโอกาสอีกครั้งที่จะไปพูดคุยเจรจาตรงนั้น
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35
+ อ่านเพิ่มเติม