เช้านี้ที่หมอชิต - กรณีรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ไม่ตรงกับคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ประจำปี 2566 ส่งผลในหลายมิติ ทั้งในทางการเมืองและทางกฎหมาย ซึ่งในทางกฎหมายมีข้อสังเกตว่า อาจเข้าข่ายการทำรายงานเท็จใช้เป็นเหตุกลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นต้องโทษคดีอาญา อีกส่วนหนึ่ง คือ ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง หากมีความผิดถือว่าโทษรุนแรงไม่น้อย
กรณีนี้อาจแบ่งออกเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัดฯ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ในฐานะประธานในที่ประชุม, นายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทานและแก้ไขรายงานการประชุม รวมถึงกรรมการที่เข้าร่วมและรับรองรายงานการประชุมที่ไม่ตรงกับเสียงที่บันทึกไว้
ซึ่ง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำในลักษณะนี้อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดในมาตรา 216 ที่มีสาระสำคัญ คือ บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทใด กระทำหรือยินยอมให้เปลี่ยนแปลง ตัดทอน ปลอมเอกสาร ลงข้อความเท็จ หรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท หรือที่เกี่ยวกับบริษัท ถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำเพื่อลวงให้บริษัทหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
โดย นายวิโรจน์ ยังได้ระบุว่า มาตรา 94 ของ พ.ร.บ.บริษัทมหาชน จำกัด ได้กำหนดความรับผิดชอบร่วมกันของกรรมการ หากปล่อยหรือยินยอมให้มีการทำความผิดฐานปกปิดหรือทำเอกสารเท็จลงในเอกสารเกิดขึ้น และในกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้อาจเชื่อมโยงไปถึงความผิดตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง สส. พ.ศ.2561 มาตรา 143 เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งให้ถูกเพิกถอนสิทธิเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ในประเด็นนี้ หากพิสูจน์แล้วว่ามีความพยายามฟื้นความเป็นสื่อของไอทีวีอย่างผิดปกติ ด้วยเป้าหมายทางการเมืองหรือเพื่อกลั่นแกล้งดังกล่าว อาจขยายไปถึงกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น นิกม์ แสงศิรินาวิน สมาชิกพรรคภูมิใจไทย และ นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ในฐานะผู้ชงคำถามเกี่ยวกับสถานะความเป็นสื่อไอทีวีเข้าสู่ที่ประชุมโดยมีเจตนาบางอย่าง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่นำเอาหลักฐานชุดนี้เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญในการร้องต่อ กกต. หรือ กกต.เองที่รับเรื่องไปดำเนินคดีต่อตามมาตรา 151 ซึ่งเรื่องนี้เราจะมีรายละเอียดทางกฎหมายเพิ่มเติมจาก ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ที่เตือนไปยังเหล่านักร้อง โดยเฉพาะ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ว่าถ้าเรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าหลักฐานที่ นายเรืองไกร นำไปยื่นให้ กกต. ตรวจสอบ นายพิธา กรณีถือหุ้นสื่อเป็นหลักฐานเท็จนั้น นายเรืองไกร ก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 ฐานแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษทางอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท
และยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ พ.ร.ป.เลือกตั้ง สส. มาตรา 143 วรรค 3 ที่ใจความตอนหนึ่งระบุว่า ถ้าการกระทำเป็นการเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาทถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี
ส่วนกรณีที่ นายเรืองไกร แสดงออกผ่านสื่อ มั่นใจว่าจะสามารถเอาผิด นายพิธา ได้ พร้อมให้สัมภาษณ์ในเชิงที่ว่าอยากให้ทางพรรคก้าวไกลนั้นแม่นกับข้อกฎหมายให้มากกว่านี้หน่อย ไปฟังว่าทนายเดชาพูดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร
ทนายเดชา บอกว่า ที่ผ่านมาเคยมีนักร้องเรียนลักษณะเดียวกับ นายเรืองไกร เคยถูกดำเนินคดีในลักษณะนี้มาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นคนไม่มีชื่อเสียงเลยไม่เป็นข่าว ส่วนกรณีของ นายเรืองไกร นั้นก็มีโอกาสสูงที่อาจจะถูกดำเนินคดีอาญา เพราะไปร้องเรียนเขาไว้เยอะ ในฐานะที่เป็นทนายความ ทนายเดชา มีอะไรอยากจะแนะนำคุณเรืองไกรบ้าง ไปฟัง
เรื่องนี้ยังคงต้องติดตามต่อไปว่า สุดท้ายแล้วผลการตรวจสอบและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของแต่ละฝ่าย จะออกมาเป็นเช่นไร เราจะติดตามและนำมาเสนอต่อไป
ขอบคุณภาพจาก : Facebook The Reporters
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35
+ อ่านเพิ่มเติม