เรืองไกร ไม่สนเสียงต้าน บุกยื่นหลักฐานเพิ่มเติม กรณีนายพิธา ถือครองหุ้นไอทีวี ยืนยันคลิปบันทึกการประชุม ย้อนแย้งเอกสาร ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริงเรื่องถือหุ้นเปลี่ยนแปลง พร้อมระบุตัวเองไม่ใช่พ่อมด จึงปลุกผีไม่เป็น
“เรืองไกร” แซะไม่ใช่หมอผี ปมปลุกผีหุ้นไอทีวี
ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับกรณีครอบครองหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีความย้อนแย้งกันอยู่ ระหว่างเอกสารบันทึกรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งขัดแย้งกับคลิปถามตอบ ในการประชุมวันนั้น โดยประธานที่ประชุม ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับความเป็นสื่อของไอทีวี จนพรรคก้าวไกล แถลงข่าวตอบโต้ว่า มีความพยายาม ปลุกผีไอทีวี เพื่อล้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่นั้น
ล่าสุดวันนี้ (13 มิ.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อนำไปประกอบการสืบสวนไต่สวน ตามความในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 มาตรา 151 กับนายพิธา
โดยเห็นว่า มีข้อมูล 4 หัวข้อ ควรนำไปประกอบการพิจารณา เช่น
1.กรณีนายพิธา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.
2.สําเนารายการโอนหุ้นไอทีวี เมื่อวันที่ 25 พ.ค. (นายพิธา โอนให้ญาติ)
3.รายงานการประชุมวาระท้าย ที่เกี่ยวกับการซักถามของผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 26 เม.ย.
โดยประเด็นรายงานการประชุม ไม่ตรงกับคลิปการประชุม แต่ต่อให้ตรงกัน ก็ไม่มีผลให้ข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เพราะกฎหมายระบุว่า ผู้สมัครต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้น ฉะนั้นที่ออกมาดีใจกัน เคาะปี๊บเคาะระฆังว่า เป็นทางรอด จึงไม่ใช่ประเด็น
4.สําเนาหมายเหตุประกอบงบการเงินไอทีวี เมื่อวันที่ 31 มี.ค. เป็นสาระสำคัญของบริษัทมหาชน ที่ต้องส่งตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งระบุชัดเจนว่า ทำธุรกิจสื่อ จะรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ที่เขียนแบบนี้ นักบัญชีอ่านจะเข้าใจ เพราะงานบริการ ต้องส่งมอบ จึงจะรับรู้ค่าใช้จ่าย ไม่ใช่งานขายสินค้า
ส่วนกรณีโลกโซเชียลตั้งข้อสังเกตว่า ตนเองสมคบคิดกับบุคคลบางกลุ่มนั้น ขอชี้แจงว่า ตนเองมีการยื่นเรื่องร้องตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. หรือก่อนเลือกตั้งใหญ่ 4 วัน ซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่า ผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร และคนที่ถือหุ้นต้องเห็นรายงานพูดถึงแผนธุรกิจเกี่ยวกับสื่อดิจิทัล ซึ่งมีแผนมาตั้งแต่ปี 2560 ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องสมคบคิดแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีขบวนการ ปลุกผีไอทีวี จริงหรือไม่ นายเรืองไกร ตอบว่า หน้าตาตนเองเหมือนพ่อมด-หมอผีหรือไม่ โดยตนเองทำคนเดียวทั้งหมด และทำในห้องนอน เบื้องต้นจะไม่ขอชี้นำสังคม ก่อนกระบวนการจะพิจารณาตัดสิน ขณะที่กองเชียร์นายพิธา มีการชี้นำกันแล้ว ฉะนั้นจะมีกระบวนการตรวจสอบไว้ทำไม โดยตอนนี้มีความพยายามขุดเรื่องเก่า ๆ ของตนเอง ก็ขอให้ไปตรวจสอบกับ ป.ป.ช. เลย จะได้รู้ว่า ตนเองมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ เบื้องต้นหาก กกต. รับรองผลการเลือกตั้งแล้ว จะยื่นเอาผิดนายพิธา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 อีกครั้ง (สส. สามารถเข้าชื่อกัน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย)
เอาผิด “เรืองไกร-คิมห์” ปมเอกสารหุ้นไอทีวี
ขณะที่อีกฟากฝั่ง ช่วงเช้าวันนี้ นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ แจ้งความตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ดำเนินคดีนายเรืองไกร และนายคิมห์ สิริทวีชัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด และเป็นผู้ทำหน้าที่ประธานประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ฐานแจ้งความเท็จ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยนายรัชพล กล่าวว่า จากปัญหาความย้อนแย้งในการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า มีเรื่องปลอมแปลงเอกสาร และความผิดอีกหลายมาตรานั้น ตนเองในฐานะประชาชน ขอเป็นตัวแทนแจ้งความกล่าวโทษ
เบื้องต้น พบพิรุธความผิดปกติอยู่ 3 ประการ คือ
1.คลิปภาพกับเอกสารบันทึกการประชุม มีข้อความบางส่วนไม่ตรงกัน
2.เพจเฟซบุ๊กของนักข่าวชื่อดัง มีการระบุว่า คลิปดังกล่าวมีการลบไฟล์ทิ้ง ซึ่งต้องตรวจสอบอีกครั้ง
3.กรณีนายคิมห์ มีการออกหนังสือให้ทำการตรวจสอบ ทั้งที่ความจริงแล้ว นายคิมห์ เป็นประธานในที่ประชุม และเป็นคนลงลายมือในเอกสารฉบัยที่เป็นปัญหาเอง
ทั้งนี้หากพิสูจน์ได้ว่า เป็นการกลั่นแกล้ง หรือยื่นเอกสารอันเป็นเท็จ จะต้องถูกดำเนินคดี แต่ที่บางคนโยงว่า อาจเป็นขบวนการกลั่นแกล้ง จากเท่าที่ดูหลักฐาน ยังไปไม่ถึงจุดนั้น หลังจากนี้ หากนายคิมห์ หรือ นายเรืองไกร จะฟ้องกลับ ก็พร้อมสู้คดี
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35