“เรืองไกร” เข้าพบ กกต. มั่นใจเอาผิด “พิธา” ถือหุ้น ITV ได้แน่นอน

เช้านี้ที่หมอชิต - ปมหุ้นสื่อจะสกัดการเข้าสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ นายพิธา ได้หรือไม่ ต้องจับตากันไม่กระพริบ เมื่อวานนี้ กกต. เชิญ 3 นักร้องมืออาชีพ เข้าให้ถอยคำเพิ่มเติมตลอดวัน โดย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ บอกว่า มั่นใจเอกสารมัดเอาผิดได้ ต่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะร้องให้พ้น ครม.

 

เมื่อวานนี้ ตลอดทั้งวัน กกต. เชิญผู้ร้องกรณี นายพิธา ยังถือหุ้นสื่อไอทีวี 42,000 ส่อขาดคุณสมบัติการเป็น สส. มาให้ถ้อยคำ ยืนยันคำร้อง และให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งเหล่านักร้องทยอยตบเท้ากันเข้ามา ในช่วงเช้ามี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำพิราบขาว 2006 ส่วนในช่วงบ่ายเป็น นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย มีรายงานว่า กกต. เชิญมาให้ถ้อยคำภายในสัปดาห์นี้

 

นายเรืองไกร เปิดเผยว่า ได้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมอ้างอิงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2563 กรณี นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ทั้งนี้ นายธัญญ์วาริน ได้ยื่นเอกสารรับสมัครเลือกตั้ง สส. ต่อ กกต. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งยื่นเอกสารวันเดียวกับ นายพิธา โดยที่ นายพิธา ถือหุ้นไอทีวี และคำวินิจฉัยปี 2564 ของ กกต. 4 เรื่อง ที่มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประกอบด้วย กรณีของผู้สมัคร สส.พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคอนาคตใหม่ เพื่อเทียบเคียงให้ กกต.วินิจฉัยย้อนหลัง ว่า นายพิธา จะพ้นสมาชิกภาพตั้งแต่ปี 2562 หรือไม่ และจะต้องดำเนินคดีอาญาตามแนวคำวินิจฉัย กกต. หรือไม่ 

 

นายเรืองไกร ยังได้ย้ำให้ กกต. เร่งดำเนินการ ส่วนที่หลายคนมองว่า ประเทศกำลังเดินหน้า เหตุใดจึงถึงมาร้องเช่นนี้ นายเรืองไกร กล่าวว่า ประเทศก็เดินหน้าไป คนกระทำความผิดหรือเข้าข่ายถูกตรวจสอบ ก็ต้องทำ 

 

ด้าน นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ตอบคำถามจากสื่อในเรื่องนี้ที่พรรคก้าวไกล สั้น ๆ ว่า พรรคก้าวไกลเตรียมข้อมูลชี้แจงเอาไว้แล้ว มั่นใจไม่มีปัญหาและไม่ได้กังวลอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

 

นอกจากนี้ ก็มีความเห็นแย้งการเคลื่อนไหวของ นายเรืองไกร และเหล่านักร้อง จาก นายณพลเดช มณีลังกา อดีตเลขานุการกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า มองไม่ออกว่าประเทศไทยจะเดินไปสู่ความเจริญกันอย่างไร เพราะมัวแต่ทำนิติสงครามกันแบบนี้

 

จากนั้นจึงได้ยกคำของศาลฎีกาที่ตัดสินให้ คุณชาญชัย ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ชนะหลังถูก กกต.นครนายก ตัดสิทธิ์เป็นผู้สมัคร สส. เพียงเพราะถือหุ้น AIS 200 หุ้น โดยศาลฎีกาได้วางหลักว่า การถือหุ้นเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ย่อมไม่มีอำนาจสั่งการให้บริษัทเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองได้ การตีความบทบัญญัติของกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร การมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพราะเหตุเป็นผู้ถือหุ้นย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงถือว่าไม่ผิด และไม่ถูกตัดสิทธิ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) ว่าด้วยการถือหุ้นสื่อ โดยหลักแล้วแนวคำพิพากษาจะยึดโยงกันระหว่างศาล ถือเป็นความยุติธรรมอันสูงสุด

 

ทั้งนี้ นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือหุ้นเพียง 42,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.0035 ของหุ้นทั้งหมด และมูลค่าในปัจจุบัน หุ้นยังติดลบ มีมูลค่าเหลือเพียง -56,910 บาท จึงไม่สามารถสั่งการสื่อได้ และถือว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น

 

นอกจากนี้ นายณพลเดช ยังเตือนว่า หากเจตนาข้างต้นมีเจตนาให้ กกต. ยุบพรรค จากข้อมูลที่รู้กันอยู่โดยทั่วไปว่าไม่ผิดดังมีคำพิพากษาได้วางหลักฎีกาล่าสุดไว้แล้ว อาจเข้าข่ายมีเจตนาล้มล้างเสียงของประชาชน เป็นความผิดฐานกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 (2) มาตรา 137 และ มาตรา 326