สาวทุกข์หนัก ! อุจจาระทะลัก 2 ทาง หลังหมอกรีดช่องคลอดทะลุรูทวาร สุดท้ายแฟนทิ้ง

สาวร้อง คลอดลูกคนแรก พยาบาลกรีดช่องคลอดทะลุทวาร ทำอุจจาระไหลออกทางช่องคลอด รักษามาเกือบปียังไม่หาย ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ เลี้ยงลูกก็ลำบาก ซ้ำร้ายผัวก็มาทิ้งไป !

 

 

            วันที่ 29 พ.ค. 66 เบ็ญจมาศ เฉื่อยกลั่น (แนน) ผู้เสียหาย ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า วันที่ 5 ก.ย. 65 ตนได้ทำการคลอดลูกด้วยวิธีการคลอดเองตามธรรมชาติ ซึ่งก็ได้มีการกรีดเพื่อผ่าคลอด ซึ่งพยาบาลได้บอกกับตนว่า กรีดแผลยาวไปหน่อยนะคะ จากนั้นตนคลอดได้ปกติ ต่อมาได้กลับบ้านเพื่อไปพักฟื้นตามปกติ ตนก็ต้องตกใจว่ารอยแผลถูกกรีดตั้งแต่ช่องคลอดยาวไปถึงรูทวารหนัก และแผลก็ยังเจ็บอยู่ วันที่ 10 ก.ย. 65 จึงได้ไปพบหมอ ซึ่งพยาบาลได้บอกกับตนว่าบาดแผลไม่ดีขึ้นเลย จึงส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเชียงราย

 

            ด้านคุณหมอของโรงพยาบาลเชียงรายได้แจ้งกับตนว่า แผลคลอดของเรามันมีรอยรั่วต้องผ่าตัด  ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังนึกภาพไม่ออกว่า รอยรั่วที่หมอแจ้งมามันคืออะไร คิดว่าแผลมันแยกไม่สมานกัน ได้รับการเย็บแก้ก็น่าจะหายดี แต่หลังจากผ่าตัดเสร็จตนก็ตกใจ เพราะมันมีสายยางแหย่เข้าทางรูจมูกลงไปถึงกระเพาะอาหาร เพื่อดูดของเสียออกมาแทนการขับถ่ายทางทวาร อีกทั้งยังต้องเจาะคอให้อาหารเหลว จากนั้น 3 วัน หมอก็มาเอาสายยางที่จมูกออก ตนก็คิดว่าแผลเริ่มหายแล้ว ทว่า บ่ายวันนั้นตกต้องตกใจอีกครั้ง เพราะ ตนปวดท้องถ่ายหนัก แต่กลายเป็นว่า อุจจาระของตนมันออกมาทางช่องคลอด และทวารพร้อมกัน 

 

            คุณหมอ เลยหาทางรักษา ได้ผลสรุปว่า ต้องเปิดหน้าท้องเอาลำไส้ออกมาสำหรับการขับถ่าย เพื่อให้แผลที่เป็นรอยรั่วที่ทวารมันสมานกัน ทั้งนี้ตนคิดว่า การรักษามันน่าจะหายใน 3 เดือน แต่ตอนนี้ผ่านมากว่า 8 เดือนมันก็ยังไม่หาย แถมแผลยังเป็นแผลภายนอก เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายมาก ซึ่งตนหาหมอลล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย. 66 เขาก็ได้มีการนัดอีกครั้ง เดือน ก.ย. 66 ซึ่งตนก็สงสัยว่าทำไมถึงนัดนานจัง อีกทั้งหมอก็ยังไม่ชัวร์ว่าแผลจะหาย ซึ่งถ้าหากไม่หายก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง 

 

            ขณะเดียวกัน ตนได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ จ.ชลบุรี แล้ว มีปัญหาในเรื่องการเดินทางไปรักษาที่ จ.เชียงราย อยากขอย้ายไปโรงพยาบาลที่ตนเดินทางรักษาได้สะดวก นอกจากนี้ อดีตสามียังมาทิ้งตนไปในตอนที่ตนยังย่ำแย่ทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งที่ตนต้องการตอนนี้ คือ อยากได้ร่างกายของตนคืนกลับมาเป็นปกติ เงินเยียวยาตนไม่เอาเลยก็ได้ ขอแค่สามารถกลับไปทำงานหาเงินได้ สามารถไปเลี้ยงลูกได้ เพราะตอนนี้แม้จะนั่งอาบน้ำให้ลูกยังเจ็บแผลอยู่เลย สิ่งที่ตนเจอมันเหมือนเป็นการทำร้ายชีวิตคน ๆ หนึ่งเลย 

 

 

            ด้าน พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูติ-นรีแพทย์ระดับเชี่ยวชาญ และกรรมการแพทยสภา เผยว่า สำหรับเคสนี้มีการทำคลอดโดยธรรมชาติ ซึ่งเมื่อก่อนจะมีการตัดฝีเย็บทุกราย เพื่อขยายช่องคลอดให้ทำการคลอดได้ง่ายขึ้น ทำให้มีโอกาสโดนทวารหนักได้ แต่ในปัจจุบันช่วง 10 ปีหลังมานี้มีการวิจัยทางฝั่งตะวันตกว่าการตัดฝีเย็บมันไม่จำเป็น จะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ และมันไม่มีประโยชน์ ควรมีการตัดฝีเย็บไม่เกิน 10% ของผู้คลออด ดังนั้นเมืองไทยจึงไม่ได้มีการตัดฝีเย็บทุกราย จะมีข้อบ่งชี้ว่าใครควรตัดฝีเย็บ คือ 1.คลอดยาก 2.คนที่จะต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอด 3.เด็กตัวใหญ่กลัวติดไหล่

 

            ทั้งนี้ ตอนแรกรอยรั่วมันอาจจะเล็ก เพราะตัวของแนนยังไม่รู้เลย แต่เมื่อมีการเย็บซ่อมลำไส้ ก็จะให้คนไข้อดข้าวไม่เกิน 7 วัน โดยในกรณีนี้ให้อดข้าว 3 วัน ปัญหาคือ 3 วันมันไม่พอ เนื่องจากอุจจาระมันผ่านลำไส้ทุกวัน ตรงแผลเย็บมันเลยติดเชื้อ แล้วแตกในเวลาต่อมา ทำให้รูรั่วที่ตอนแรกอาจจะเล็กมันใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นจึงต้องรักษาโดยการยกลลำไส้ออกมาขับถ่ายทางหน้าท้อง เพื่อให้รูที่ซ่อมนั้นไม่มีอุจจาระผ่าน ส่วนประเด็นที่หมอนัดนานนั้น คิดว่าเขาคงตรวจแล้วว่าแผลมันยังไม่ติด 

 

            ฟาก พญ.อัมพวัน ศรีครุฑรานันท์ ผอ.รพ.พญาเม็งราย กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการตรวจสอบพยาบาลผู้ทำคลอดว่ากรีดแผลยาวจริงตามที่คนไข้อ้าง หลังจากที่พบว่ามีแผลแยกเกิดขึ้นทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์นี้ ได้ส่งตัวไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินารีแพทย์ที่ โรงพยาบาล เชียงราย ซึ่งก็ได้มีการติดตามอาการจากทางอีกโรงพยาบาลหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ได้มีการประสานกับประกันสังคมของตัวผู้ป่วย เพื่อขอรับการเยียวยา แต่ในการเยียวยาตรงนี้ ต้องรอให้สิ้นสุดการรักษาเสียก่อน หากยื่น ณ ตอนนี้ที่การรักษายังไม่เสร็จ อาจจะได้รับการเยียวยาไม่ครบ เพราะสามารถยื่นเรื่องได้แค่ครั้งเดียว 

 

            อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจหัวอกผู้หญิงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันรุนแรง ทำร้ายจิตใจผู้หญิงพอสมควร และตนขอแสดงความเสียใจ และขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจในการรักษาให้กลับเป็นเหมือนเดิม ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลา ส่วนเรื่องการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นนั้น ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนตัดสิน

 

 

            ด้าน ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล รองประธานคณะกรรมการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย สภาทนายความฯ กล่าวว่า เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย เพราะตอนนี้มันอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าใครเป็นฝ่ายประมาท ต้องดูว่ามันจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีการตัดหรือขลิบขยายช่องคลอด ซึ่งถ้าตามหลักกฎหมายนั้น หากมีการกระทำโดยการประมาทของเจ้าหน้าที่รัฐฯ เราสามารถดำเนินคดีกับเขาได้ โดยจะมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับ 60,000 บาท ส่วนในเรื่องทางแพ่ง ก็สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับทางโรงพยาบาลได้ เพราะถือว่าเป็นนายจ้าง