สาวผวา ! โจ๋กร่างควงมีดบุกบ้าน ขู่ยิงทิ้งยกครัว ลั่น “อาร์ต บางนา กูไม่กลัวใคร”

กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต สาวถึงกับผวา หลังเพื่อนบ้านกร่าง เดินควงมีดบุกบ้าน ขู่ยิงทิ้งทั้งครอบครัว จนต้องหอบลูกหนีแทบไม่ทัน ลั่น "กูอาร์ตบางนา ไม่กลัวใคร" ใครห้ามก็ไม่ฟัง สุดท้ายถูกดำเนินคดี ! 

 

 

            วันที่ 17 เม.ย. 66 น้ำ (ผู้เสียหาย) ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย กาย สวิตต์ ลีละพงศ์วัฒนา เล่าว่า ตนถูก นายอาร์ต บุกถือมีดเข้ามาในบ้านของตน ตรงเข้ามาจะทำร้าย ตนและลูกอีก 2 คน จนต้องวิ่งหลบเข้าไปในห้อง ซึ่งตนก็ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอไว้ เพื่อหวังให้ผู้ก่อเหตุกลัว แต่ทว่าผู้ก่อเหตุไม่กลัว ยังข่มขู่กลับว่า “ปืนกูก็มีกู ติดคุกมาตั้งแต่เด็กแล้วกูไม่กลัวหรอก” และขู่ว่าจะเอาปืนมายิงทื้งยกบ้าน พร้อมทั้งบอกว่า "กูอาร์ตบางนา กูไม่กลัวใคร"

 

            คุณน้ำ เล่าต่อว่า วันที่เกิดเหตุ ตนก็ใช้ชีวิตอยู่ปกติในบ้าน นายอาร์ต ผู้ก่อเหตุ กำลังทะเลาะกับภรรยาของขาอยู่หน้าบ้าน ตนที่กำลังกวาดบ้านอยู่ จึงได้บอกให้สามีเบาเสียงทีวีเพื่อฟังว่าข้างบ้านเขาทะเลาะกันรุนแรงหรือไม่ แล้วอยู่ดี ๆ ผู้ก่อเหตุก็วิ่งถือมีดเข้ามาถึงตัวตนในบ้าน มาถามว่าพวกตนไปว่าอะไรเขา เขาคิดว่าตนไปด่า ไปหัวเราะเยาะเขา จนกลายเป็นเหตุการณ์ข้างต้นขึ้น ขณะเดียวกัน ระหว่างที่เขากำลังก่อเหตุข่มขู่อยู่นั้น ภรรยาของเขาก็อุ้มลูก มาห้ามปราม และพี่เขยของเขาก็มาห้ามปรามเช่นกัน 

 

            ทั้งนี้ ที่มีคนถามมาว่า ทำไมในคลิปตนถึงยืนนิ่งจัง ทั้งที่ผู้ก่อเหตุเขารุนแรง เป็นเพราะว่า ตนรู้จักกับพี่เขยของเขา พี่เขยเขาเป็นเพื่อนบ้านของตน อยู่ด้วยกันมานาน เป็นเพื่อนบ้านทั่ว ๆ ไปไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน ตนก็เลยคิดว่าไม่มีอะไร ส่วนตัวนายอาร์ต นั้น เพิ่งมาอาศัยอยู่ได้ประมาณ 2 วัน มาพร้อมลูกกับเมียเขา 

 

            อย่างไรก็ตาม ตนก็ไม่ได้ดำเนินคดีอะไรกับเขา เพราะพี่เขยเขาก็ดีกับเรา ส่วนนายอาร์ตเองก็ได้มาขอโทษแล้ว ขอให้เราไม่เอาเรื่องกับเขา เพราะเขาก็มีลูกเล็ก แต่เราได้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ส่วนในเรื่องที่ผิด ที่ตนมาออกสื่อเพราะว่า เผื่อตนจะเป็นอะไรไปในเรื่องความปลอดภัย จะได้รู้ว่ามีเรื่องมีราวอะไรกันมา และอยากเตือนภัยสังคม การที่เราอยู่บ้านเฉย ๆ บางทีมันอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับเรา โดยที่เราไม่ทันตั้งตัวได้ 

 

 

            ด้าน ฟาส (แฟนผู้เสียหาย) กล่าวว่า ตนคิดว่านายอาร์ต น่าจะเมา เพราะตนได้กลิ่นแอลก็ฮอล์ คาดว่า เมามาจากที่อื่น ส่วนเรื่องฉายา อาร์ตบางนา ของเขานั้น ตนไม่รู้จัก และคนแถวบ้านก็ไม่มีใครรู้จัก เพราะเขาย้ายมาจากที่อื่น ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุ ทั้งครอบครัวของนายอาร์ต เขาก็จะย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นให้ เพราะเขากลัวครอบครัวตนไม่สบายใจ 

 

 

            ฟาก อาร์ต บางนา ผู้ก่อเหตุ เล่าว่า วันที่เกิดเหตุ ตนเมาสุรา จำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ว่าเห็นกลุ่มผู้เสียหายเขาหัวเราะ เลยคิดว่าเขาหัวเราะเยาะตน แต่อย่างไรก็ตามตนทำผิดตนก็ต้องยอมรับ ไม่แก้ตัวใด ๆ เช้าหลังวันเกิดเหตุตนก็ไปขอโทษ ขอขมา ผู้เสียหายเลยทันที ฝั่งผู้เสียหายเขาก็ไม่เอาเรื่องอะไร แต่มันเป็นข่าวดัง ก็เลยต้องดำเนินคดีไปก่อน ทั้งนี้ตนสงสารลูกกับภรรยา ลูกคนเล็กก็เพิ่งคลอดได้ 2 เดือน ถ้าตนถูกดำเนินคดีแล้วเขาจะอยู่อย่างไร เพราะตนเป็นคนหารายได้ ส่วนเรื่องประวัติอาชญากรรมนั้น ตนพ้นโทษมานานแล้ว 3-4 ปี อย่างไรก็ตาม ต่อไปตนจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ขออยู่กับลูกกับภรรยาดีกว่า 

 

 

            ด้าน นิติธร แก้วโต ทนายความ ให้ความเห็นว่า เคสนี้เป็นการบุกรุกด้วยเหตุฉกรรจ์ เหตุฉกรรจ์คือ การบุกรุกในเวลากลางคืน บุกรุกโดยการใช้อาวุธ แล้วก็บุกรุกโดยการใช้กำลังประทุษร้าย หรือข่มขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งจะมีโทษหนักกว่าการบุกรุกปกติ โดยจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนในอีกข้อหานั้น จะมีในเรื่องของการพกพาอาวุธไปในพื้นที่สาธารณะ โดยจะมีโทษแค่ปรับเงิน สุดท้ายจะเป็นการข่มขู่ให้ผู้อื่นตกใจกลัว มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งหมดนี้อยู่ที่ว่าผู้ก่อเหตุจะสำนึกผิด เยียวยาผู้เสียหายอย่างไร เพื่อให้ศาลเห็นใจ และตัดสินใจรอลงอาญา ประเด็นที่น่าสนใจ คือเขาเคยต้องโทษมาก่อน ต้องมาดูว่าเขาพ้นโทษมาแล้วกี่ปี แล้วศาลจะให้รอลงอาญาหรือไม่ 

 

            ส่วน พ.ต.ท. มานิต จันทร์ประสิทธิ รองผกก.สอบสวน สน.หนองจอก กล่าวว่า ตอนนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว สายตรวจก็ได้ไปเชิญตัวมาสอบสวน และได้จับกุมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาก็ได้ยอมสารภาพทุกอย่าง ซึ่งเขาบอกว่าเขาเมาสุรา เลยได้เตือนให้เขาคิดก่อนจะทำอะไร เพราะเขาเองก็มีลูก 

 

            ทั้งนี้ มันเป็นคดีที่เกี่ยวกับชีวิต และร่างกาย แม้ว่าทางผู้เสียหาย กับผู้ต้องหาจะคุยกันตกลงกันได้ไม่เอาความ แต่ความผิดมันเกิดไปแล้ว เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเหตุขึ้นอีกหรือไม่ มันเป็นคดีอาญาอุกฉกรรจ์ จึงต้องดำเนินไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องการบรรเทาผลร้าย ก็ไปว่ากันในชั้นศาล ขึ้นอยู่กับตัวเขาจะทำอย่างไรต่อ