เช้านี้ที่หมอชิต - เรียกว่าเป็นมวยคู่เดือด สร้างปรากฎการณ์ร้อนแรงระดับปรอทแตก จนเป็นประเด็นดรามาข้ามสัปดาห์ระหว่าง ทนายตั้ม กับ ชูวิทย์ ล่าสุดทั้งคู่ยังซัดกันไม่หยุด น่าลุ้นเหลือเกินว่างานนี้ ใครจะอยู่ ใครจะไป
เป็นประเด็นร้อนแรงข้ามสัปดาห์ สำหรับศึกวิวาทะระหว่างนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน กับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ตอนนี้ผลัดกันงัดข้อมูลออกมาแฉ กระหน่ำโจมตีกันไปมา เรียกว่าเป็นมวยคู่เอกอีกคู่ที่หลายคนจับตาดูไม่กระพริบ ลุ้นว่างานนี้ใครจะอยู่ ใครจะไป
ล่าสุด นายชูวิทย์ โพสต์รูปภาพในเฟซบุ๊ก เป็นเอกสารทางการเงินของบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ที่ระบุรายรับเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท ระบุในเอกสารว่าเป็นค่าแถลงข่าวออกสื่อ บวก 15 เปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่ได้รับ ระบุชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เป็นผู้รับเงิน
โดย นายชูวิทย์ ได้เขียนข้อความประกอบภาพไว้ว่า
แถลงไป ไถไป จะช่วยเหลือประชาชน แต่ต้องจ่ายค่าแถลงข่าว 300,000 บาท แพงขนาดนี้ไปรับจัดงานอีเวนท์ดีกว่า มิน่า ถึงไม่ต้องไปว่าความ แถลงข่าวสัก 10 เรื่องก็ 3 ล้านแล้ว ไม่รู้แบ่งค่าแถลงข่าวให้ใครบ้างไหม?
ไม่รู้จริง ๆ ว่า เดี๋ยวนี้ทนายความคิดค่าแถลงข่าวได้ ก็ว่าทำไมแถลงบ่อยเหลือเกิน โถ ทนายประชาชน
ไม่เท่านั้น ชูวิทย์ ยังได้เขียนเพิ่มเติมไว้ในช่องแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์นี้อีกว่า โจรอย่างผม ได้เงินจากโจร เอาไปบริจาค แต่ทนายโจร เอาเงินค่าแถลงข่าวจากประชาชนที่เดือดร้อน ใครเลวกว่า ดูเอาแล้วกัน
คุณชูวิทย์ ยังได้ขยี้เรื่องนี้ด้วยภาพ ๆ นี้ เป็นภาพแคปเจอร์ความคิดเห็นที่โต้ตอบกันไปมาระหว่าง ทนายตั้ม กับแอดมินเพจ อีเจี๊ยบ เลียบด่วน โดยทนายตั้มเขียนว่า กูมาต่างจังหวัดอีเจี๊ยบ ถ้ารีบมึงก็จัดแถลงข่าวแทนกูเองเลยสิ ด้าน อีเจี๊ยบฯ ก็ตอบกลับมาว่า โพสต์ก็ได้นี่พี่ ประโยคต่อมาของทนายตั้ม คงเป็นประโยคนี้ที่คุณชูวิทย์ อยากให้สังคมได้เห็น นั่นคือประโยคที่ทนายตั้มตอบกลับไปว่า แบบนี้มันต้องนั่งแถลง
ซึ่งก็ตามมาด้วยอีก 1 คอมเมนต์ของคุณชูวิทย์ เป็นภาพที่ทนายตั้ม กำลังนั่งแถลงข่าวภาพนี้ พร้อมกับข้อความที่ชูวิทย์ เขียนประกอบภาพไว้ว่า คนแถลงนั่งเก้าอี้ได้ 300,000 นักข่าวนั่งพื้น เสียค่าจอดรถอีก 100 ซึ่งเรื่องนี้ก็โยงกลับไปยังภาพใบเสร็จ ค่าแถลงข่าวออกสื่อ ที่เปรียบเสมือนหมัดฮุก ที่ชูวิทย์ อัดใส่ทนายตั้ม เต็ม ๆ
ด้าน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ก็ได้โพสต์ข้อความบนเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ณ วันนี้ทุกคนด่าผม สาปผมไปเถอะครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทัวร์ลง ผมพูดอะไรที่พวกคุณชอบ คุณก็อวยผม ผมเห็นต่างคุณก็เอาทัวร์มาลง ผมผ่านสังคมล่าแม่มดมากี่ยุคกี่สมัย เรื่องแค่นี้ เรื่องเล็ก อย่างเรื่องนี้เองตามกฎหมาย มันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง คุณก็รู้ก็เห็นกันดี อดทนรอดูกันไปยาว ๆ แล้วกันครับ ข้อมูลทั้งหมดที่ผมรู้ ผมจะเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ แล้วถ้าเรื่องมันไปไกล จนจับกุมผู้ก่อความเสียหายให้ประเทศชาติได้ และหลายคนในนั้นก็เป็นคนของรัฐ วันนั้นก็หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมทำ ไม่ต้องขอโทษ แต่แค่ใจดีกับผมก็พอขอแค่นี้
ทนายตั้ม ยังได้เขียนข้อความเพิ่มเติมไว้ในช่องแสดงความคิดเห็นว่า ช่วงนี้ยอมรับจริง ๆ ครับ หัวร้อน อย่างไปวัดผมก็ไปแก้บน พอเห็นภาพก็นึกอยากจะแซว อยากจะปั่นขึ้นมา เพราะอีกฝ่ายหาว่าผมไปเปิดบ่อนกับสารวัตรซัว ซึ่งเป็นการดิสเครดิตที่ทุเรศมาก พอโพสต์ไปเลยทำให้พุทธศาสนิกชนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมียก็ด่าตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้ จะลบก็เสียฟอร์ม เลยปล่อยไว้แบบนั้น ตำหนิได้เต็มที่ครับผม
ประเด็นนี้คุณชูวิทย์ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
หลังพิงวัด อ้างพระอ้างเจ้า เดินสายเข้าวัดทำบุญ แต่เข้าไม่ถึงธรรมะ เพราะจิตใจร้อนรุ่ม ต่ำทราม ทำอะไรไม่ได้อย่างที่คิดก็สาปแช่ง ให้มันได้อย่างนี้ เป็นทนายไม่ขึ้นศาลยุติธรรม ใช้หลักฐาน แต่ดันกราบไหว้ไปขึ้นศาลพระภูมิแทน อย่างนี้ลูกความจะพึ่งได้หรือ? ไม่รู้ต้องแก้บนเท่าไหร่? เรียนกฎหมายแต่ใช้ไม่เป็น รักจะเอาดีเป็นนักร้องเวที หาแสงสปอตไลท์ เก่งแต่ในโซเชียล ว่าความตอบโต้บนคอมเม้นท์ ก็ออกมาทำคอนเทนต์เป็นยูทูบเบอร์เสียเลย อย่าไปอาศัยใบบุญเบิกทางเป็นทนายแค่ชื่อ แต่ไม่ได้ทำอาชีพทนาย อีกไม่นาน ไปเจอกันที่ศาลอาญาดีกว่า บนศาลนั้นของจริง ไม่ใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือแต่ใช้เอกสารหลักฐานมาสู้กัน แล้วช่วยเตรียมหาหลักฐาน 50 ล้านบาท ที่บอกว่าผม หรือลูกผมได้มา ให้ศาลดูด้วย ไม่ใช่หลักฐานไม่มี เลยเข้าวัดสาปแช่ง เอาเวลาไปอ่านกฎหมาย ฝึกว่าความให้มาก ๆ เพราะยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ก็ฟ้อง เดี๋ยวก็มีของผมอีก รักจะแฉ อย่าไปร้องงอแงเหมือนเด็ก ต้องเก่งว่าความตอบโต้กับทนายอนันต์ชัยด้วยกันที่หน้าบัลลังก์ศาล มันถึงจะเรียกว่า ทนาย ไม่ใช่เอาแต่ยกมือไหว้ในวัดแล้วสาปแช่งแทน โถ อย่างนี้จะไปเรียก ทนายประชาชน ได้ไง? ทรงอย่างนี้เขาเรียกกันว่า เด็กวัด แท้ๆ
ทางด้าน คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ อดีต สส.พัทลุง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นกรณีที่ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์เฟซบุ๊กเข้าวัดทำบุญ แต่ไปสาปแช่งคนที่เคยรับเงินของแก๊งสารวัตรซัว ให้รับผลกรรมโดนยึดทรัพย์หมดตัวทั้งตระกูล โดยชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการสาบานตนในศาล และมนตร์ดำ หรือการสาปแช่งผู้อื่น ซึ่งไม่มีใครทำกัน เพราะจะเป็นอัปมงคลต่อตัวเอง และยังแนะนำให้ไปถอนคำสาบาน จะได้เป็นมงคลต่อตัวเองและครอบครัว
ในขณะที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม จะเดินทางไปยังกองบังคับการปราบปราม เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญา พล.ต.ต. ชื่อย่อ อ. และ พล.ต.ท. ป. อดีตตำรวจ กับพวก รวม 4 คน ในกรณีที่นำเงินจากสารวัตรซัว ไปมอบให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จำนวน 6 ล้านบาท ในข้อหาฟอกเงิน
จากนั้นจะต่อไปที่ สน.ทองหล่อ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษขอให้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ สืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีอาญากับบุคคลตามภาพ ในเฟซบุ๊กที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ซึ่งในภาพมีการระบุว่าเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์และชายอีกหนึ่งคนพร้อมถุงเงิน 2 ถุง ในข้อหาเดียวกัน ว่านำเงินมาจ่ายให้ใคร ใช่ที่โรงแรมเดวิสหรือไม่
ไม่จบเพียงเท่านี้ ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก และดูท่าน่าจะจบยาก เพราะมีชาวโซเชียลไปขุดเรื่องราวเก่า ๆ ของทนายตั้ม ออกมา เป็นเรื่องของคลิปเสียงที่มีบุคคลส่งไปร้องเรียนกับทางเพจ ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ปัจจุบันเพจนี้ปิดตัวไปแล้ว แต่ชาวโซเชียลก็ยังไปขุดคลิปเสียงที่เคยมีการร้องเรียนทนายความคนหนึ่งเอาไว้ได้
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35