เปิดจดหมาย “ประวิตร” มุ่งก้าวข้ามความขัดแย้ง จับสัญญาณ “รัฐบาลแห่งชาติ”

เช้านี้ที่หมอชิต - มุ่งมั่นเดินหน้าไปตามสโลแกน ก้าวข้ามความขัดแย้ง อย่างแน่วแน่ สำหรับ บิ๊กป้อม ที่มีเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นเดิมพัน เมื่อสักครู่ เราจึงได้เห็นเค้าลางการจับขั้วใหม่ พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย ขายแพ็คคู่สู้แลนด์สไลด์ จะต้องเป็นรัฐบาลไปด้วยกัน แต่เมื่อประเมินแล้ว ยังไงเสียง 2 พรรคก็ไม่พอ อีกด้านหนึ่ง เราจึงเห็นมือไม้ที่หยิบยื่นไมตรี เปิดทางให้ฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามาจับ แต่ละจังหวะก้าวของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์เวลานี้ จึงมีทั้งการรวมพันธมิตรเดิม เพื่อสร้างการต่อรองให้เสียงดังขึ้น และการแสดงออกถึงท่วงท่าอันหนักแน่น เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์แบบฝ่ายประชาธิปไตย อย่างที่เราไม่เคยเห็นแน่ ๆ ในยุคสมัยที่ คสช. เรืองอำนาจ

 

ดังเช่นล่าสุด กรณีตำรวจล็อคตัวป้านา ระหว่างนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ราชบุรี ดูจากฝั่งพลเอกประยุทธ์ หลายคนดาหน้ากันออกมาปกป้อง ยืนยันความชอบธรรมให้กับการกระทำนี้เต็มที่ แต่พอไปถามกับ พลเอกประวิตร ท่านแสดงทัศนะสวนทางอย่างสิ้นเชิง บอกว่า บุคคลสาธารณะต้องรับฟังให้มาก โดยเฉพาะความเห็นต่าง ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังหรือการฟ้องร้อง เพียงเพราะเขาคิดไม่เหมือนเรา ปัญหาความแตกแยกของประเทศมีมานานเกินไปแล้ว อยากให้แต่ละฝ่ายรับฟังกันมากขึ้น เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปด้วยความเรียบร้อย

 

เท่านั้นยังไม่พอ มาจับสัญญาณกันต่อ เมื่อวานนี้ พลเอกประวิตร ยังได้ออกจดหมายอีกฉบับ หัวข้อบทสรุปสู่ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งเนื้อความในจดหมาย มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบางเนื้อความที่เหมือนว่าจะซ่อนความนัยบางอย่างเอาไว้ให้ถอดรหัส

 

เนื้อความโดยสรุปของจดหมายฉบับนี้ ในช่วงต้นกล่าวถึงสาเหตุของความขัดแย้งในอดีตที่ผ่านมา ท่านระบุว่า ที่มาของปัญหาเกิดจากภายในสภา แต่มาจบกันนอกสภา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมควบคุมอำนาจได้ แต่ก็พ่ายแพ้ทุกครั้งเมื่อเลือกตั้ง ในทางตรงข้ามฝ่ายประชาธิปไตย แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน แต่ก็พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีพลังพอที่จะต้านทานการเข้ามาควบคุมจากกลไกที่มีอำนาจอย่างแท้จริงต่อโครงสร้างอำนาจของประชาชน เมื่อประเทศต้องอยู่ในสถานะที่ ผู้ล้มเหลวทั้งสองฝ่าย ต่างก็ผลัดเข้ามาควบคุมอำนาจอาการหมดสภาพที่จะก้าวต่อไปสู่ความเจริญ จึงเกิดขึ้นกับประเทศของเรา

 

พลเอกประวิตร ยังบอกด้วยว่า นโยบายในการบริหารประเทศของแต่ละพรรค การเมืองที่ต่างก็กำลังเสนอออกมาในขณะนี้ นับได้ว่าเป็นนโยบายที่ดีเพราะกลั่นกรองมาจากบุคลากรชั้นนำของแต่ละพรรค แต่เป็นที่น่าเสียดาย หากนโยบายเหล่านั้นจะไม่ได้รับการนำไปใช้เพราะต้องไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

 

ท่านยังย้ำดังนี้ว่า การเมืองที่อยู่ในใจผม คือการเมืองที่ไม่ต้องมีผู้ชนะเด็ดขาด ไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟู และพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ผมพูดไม่เก่ง แต่ ผมมีหัวใจ หัวใจที่ใหญ่พอจะยอมรับความแตกต่างทางความคิด เพื่อนำพาให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง วิธีที่ผมคิดไว้คือให้ความเคารพอย่างแท้จริงต่อ ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น เพียงแต่ว่าเป็น ประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาท

 

นอกจากนี้ จดหมายของพลเอกประวิตร ยังระบุด้วยว่า 8 ปีที่ผ่านมาสอนให้ผมเรียนรู้และได้คิดว่า อะไรที่ดีกว่าเดิม เพื่อจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและจะต้องทำด้วยวิธีคิดใหม่ ๆ เพราะการที่จะคิดอยากได้สิ่งใหม่ ๆ โดยใช้วิธีเดิม ๆ นั้นไม่น่าจะได้ผล ส่วนที่ผมคิดจะถูกหรือจะผิด ประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน

 

จากเนื้อหาโดยสรุป แล้วมาประมวลจากสารที่สื่อความตามประโยคเหล่านี้ ไม่มีผู้แพ้ชนะเด็ดขาด ตอกย้ำต่อด้วย ความร่วมมือกันพัฒนาประเทศ การยืนยันแก้ปัญหาด้วยประชาธิปไตย ภายใต้เงื่อนไข ที่เปิดกว้างให้ทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาท และยืนยันว่า ต้องทำวิธีใหม่เพราะวิธีเดิมไม่ได้ผลแปรผลแล้ว นี่จึงเสมือนว่า ถ้อยคำเหล่านี้กำลังมุ่งหมายไปสู่ข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาติ ใช่หรือเปล่า แม้คำถามนี้จะไม่ได้ใช้ถ้อยคำรัฐบาลแห่งชาติแบบตรง ๆ แต่เชื่อว่า พรรคการเมืองต่าง ๆ ต่างรู้ในสัญญาณนี้ดียิ่ง

 

หลังเลือกตั้งประเด็นนี้จะเป็นโจทย์ใหญ่แน่นอน โดยเฉพาะสำหรับ พรรคเพื่อไทย ที่จะตอบรับหรือไม่ ในการจัดตั้งรัฐบาลที่รวมเสียงต่อรองมาเป็นแพ็คคู่แบบนี้

 

พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35