logo เช้านี้ที่หมอชิต

รังสิมันต์ โรม เคลื่อนไหว ! ถอนหมายจับ “สว.ทรงเอ” ทำลายกระบวนการยุติธรรม

เช้านี้ที่หมอชิต : เช้านี้ที่หมอชิต - วันนี้จะมีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวจาก นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล จากกรณีที่เคยอภิปรายในสภาเ ข่าว,ช่อง7สี,ช่อง7HD,กด35,ข่าวช่อง7,CH7HD,รายการ,ดูย้อนหลัง,คลิปย้อนหลัง,CH7HDNEWS,ข่าวการเมือง,ข่าวเศรษฐกิจ,ข่าวบันเทิง,ข่าวโซเชียล,ข่าวออนไลน์,ข่าวสังคม,ข่าวอาชญากรรม,ข่าวกีฬา,ข่าวภูมิภาค,ข่าวด่วน,ข่าวเด็ด,ข่าวร้อน,ข่าวสด,ข่าวใหม่,ข่าวล่าสุด,ch7 news,เช้านี้ที่หมอชิต,ข่าวเช้า,ข่าวเช้าช่อง 7,เช้านี้ที่หมอชิตวันนี้,เช้านี้ที่หมอชิต ล่าสุด,เช้านี้ที่หมอชิต ช่อง7,TERO Digital

211 ครั้ง
|
13 มี.ค. 2566
เช้านี้ที่หมอชิต - วันนี้จะมีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวจาก นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล จากกรณีที่เคยอภิปรายในสภาเกี่ยวกับ สว.ทรงเอ ที่ถูกกล่าวหาร้ายแรงว่า อาจมีความเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและฟอกเงินเครือข่ายทุนมินลัต ซึ่งมีอีกประเด็นร้อนแรงที่ซ้อนเข้ามา คือมีข้อสังเกตถึงความพยายามช่วยเหลือโดยกระบวนการยุติธรรมของไทยในการยกเลิกหมายจับ ซึ่ง นายรังสิมันต์ ระบุว่า วันนี้ เวลา 13.00 น. จะเดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อแถลงข่าวถึงการช่วยเหลือ สว.ทรงเอ ให้รอดคดีครั้งนี้
 
พร้อมกันนั้น นายรังสิมันต์ ยังได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยนำเอกสารฉบับหนึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำคดีนี้ มาเปิดเผย แคปชั่นระบุว่า เรื่องนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมีคำตอบ ไม่ว่าจะศาลและตำรวจ กระบวนการยุติธรรมของเรามันเน่าเฟะขนาดนี้ได้ยังไง ต้องปัดกวาดตัวเองให้เรียบร้อยได้แล้ว ไม่เช่นนั้นประชาชนจะเชื่อถือได้ยังไง
 
โดยเนื้อหาในเอกสารฉบับนี้แล้วต้องบอกว่ามีความสำคัญมาก เพราะหากมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามเอกสาร ก็จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สะท้อนว่าคุกมีไว้ขังคนจนหรือไม่ กฎหมายพร้อมจะช่วยเหลือผู้มีสถานะพิเศษเสมอหรือเปล่า หวังว่า เมื่อเอกสารนี้เผยแพร่ไปแล้วผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกกล่าวถึงจะมีคำตอบให้สังคมด้วย เราจะมาเปิดเอกสารฉบับนี้กัน
 
เอกสารนี้เป็นเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ สารวัตรสืบสวน สน.พญาไท เกี่ยวกับการร้องขอออกหมายจับ สว.ทรงเอ ส่งถึงกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ลงวันที่ 5 มีนาคม 2566
 
พ.ต.ท.มานะพงษ์ อธิบายถึงเหตุการณ์ที่เขาขอหมายจับ สว.ทรงเอ ต่อศาล และถูกยกเลิกหมายจับในวันเดียวกันว่า เกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานเป็นสารวัตร กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยการเพิกถอนหมายจับครั้งนั้น อ้างว่าเป็นบุคคลสำคัญ จึงเชื่อได้ว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และเปลี่ยนมาเป็นการออกหมายเรียกนายอุปกิตภายใน 15 วันแทน แต่จากเดือนตุลาคม 2565 มาถึงปัจจุบัน จนขณะนี้ที่ปิดสมัยประชุมสภาแล้วก็ยังไม่มีการออกหมายเรียก สว.ทรงเอ แต่อย่างใด
 
การประวิงเวลาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินคดีกับ สว.ทรงเอ ในครั้งนี้ ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อความศรัทธาของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม และการเพิกถอนหมายจับด้วยเหตุผลว่าผู้ถูกออกหมายจับ เป็นบุคคลสำคัญ เป็นการทำลายหลักการที่ว่า บุคคลย่อมเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย
 
พ.ต.ท. มานะพงษ์ ยังเปิดเผย ในเอกสารว่า ภายหลังการจับกุม ทุนมินลัต พร้อมพวก 4 คน เมื่อวันที่ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 ตามหมายจับศาลอาญาในความผิดเกี่ยวกับการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงิน หลังจากควบคุมตัวไว้ 3 วัน ผู้ถูกจับบางส่วนได้สมัครใจให้การว่า สว.ทรงเอ เป็นผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการ พร้อมแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงได้จัดทำเอกสารพยานหลักฐานประกอบคดี
 
ต่อมา กองกำกับการสืบสวน 2 บช.น. เห็นควรดำเนินคดีกับ สว.คนดังกล่าว เนื่องจากพยานหลักฐานชัดแจ้ง จึงรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับ วันที่ 3 ตุลาคม 2565 เวลา 09:30 น. หลังยื่นเอกสารข้างต้น ได้รอการไต่สวนจากผู้พิพากษาเวรเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ผู้พิพากษาเวรเรียกเขาไปไต่สวน เวลา 11.00 น. ศาลได้อนุมัติหมายทั้งหมายจับและหมายค้นตามคำขอ ซึ่งเป็นการดำเนินการนอกสมัยประชุมสภา เป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
 
ต่อมา เวลา 13.30 น. วันเดียวกันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ศาลให้นำหมายศาลฉบับจริง นำกลับไปที่ศาลอาญา และให้ไปพบรองอธิบดีผู้พิพากษาศาล เขาบรรยายว่าอย่างนี้
 
เมื่อข้าพเจ้าได้นั่งลง ก็พบว่า รองอธิบดีผู้พิพากษาศาล กำลังโทรศัพท์ไปหานายตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสอบถามว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงไปขอศาลออกหมายจับ สว.ทรงเอ ต่อมาจึงส่งโทรศัพท์มาให้ข้าพเจ้าพูดคุย โดย พ.ต.ท.มานะพงษ์ ชี้แจงว่ามีหลักฐานเพียงพอต่อการดำเนินคดี
 
รองอธิบดีผู้พิพากษาศาล ได้พูดทำนองว่าข้าพเจ้า ว่า เหตุใดจึงได้มาขอออกหมายจับสมาชิกวุฒิสภา และหาว่าข้าพเจ้าจะล้มอำนาจนิติบัญญัติของประเทศ
 
ซึ่งเอกสารยังบรรยายว่า รองอธิบดีผู้พิพากษา ต่อว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ว่าเป็นตำรวจที่ไม่มีวินัย ไม่แต่งเครื่องแบบตำรวจมาพบผู้พิพากษา ไว้ผมรองทรงยาวกว่าตำรวจทั่วไป ซึ่ง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ตอบว่า ทำงานภาคสนามตัดผมสั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน หลังจากนั้น รองอธิบดีคนดังกล่าว ต่อว่าเขาต่อด้วยว่า ใช้ดุลพินิจไม่ชอบในการออกหมายจับ สว. ที่ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
 
พ.ต.ท. มานะพงษ์ ตอบว่า เขาใช้ดุลพินิจของตัวเองในการร้องขอออกหมายจับ เนื่องจากเห็นว่า มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต จำนวน 5 กรรม และ สว. ที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องได้รับโทษหนักกว่าบุคคลธรรมดาหลายเท่าตัว จึงได้ยื่นคำร้อง
 
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวในทำนองว่าต้องการให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ ถอนหมายจับ แต่เขาไม่ยินยอม เพราะจะมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญา หลังจากนั้นได้มีการเรียกผู้พิพากษาเวรเข้ามา รองอธิบดี สอบถามผู้พิพากษาเวรว่าเหตุใดจึงมีการออกหมายจับ และถามว่าทราบหรือไม่ว่า หากเป็นคดีคนสำคัญ ต้องปรึกษาผู้บริหารศาลตามระเบียบศาล ซึ่งผู้พิพากษาเวรตอบว่า ไม่ทราบ และขอดูระเบียบศาล
 
ก่อนที่เลขาธิการศาลจะแทรกขึ้นมาว่า ระเบียบดังกล่าววางอยู่บนโต๊ะเวลาที่ผู้พิพากษาเข้าเวร แต่เมื่อให้เจ้าหน้าที่ไปหากลับไม่พบว่ามีระเบียบดังกล่าว
 
ต่อมา รองอธิบดีได้สั่งให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้บังคับบัญชาออกนอกห้อง หลังจากรอ 10 นาที เมื่อถูกเรียกกลับเข้าไป อธิบดีผู้พิพากษาศาลได้แจ้งให้ทราบว่าจะถอนหมายจับและสอบถามความเห็นจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์
 
ข้าพเจ้าได้ตอบไปว่า หากไม่ได้มีการออกหมายจับ ก็เชื่อได้ว่าในอนาคตจะไม่ได้มีการดำเนินคดีกับ สว.ทรงเอ ทั้งที่มีพยานหลักฐานแจ้งชัด เนื่องจากเชื่อได้ว่าอาจมีการล้มคดีที่ได้มีการสอบสวนเกี่ยวกับ สว.ทรงเอ หลังจากนั้นอธิบดีผู้พิพากษาศาลก็ตัดสินใจให้มีการถอนหมายจับ
 
เอกสารยังระบุด้วยว่า เมื่อรองอธิบดีได้เดินออกจากห้องไป อธิบดีได้เข้ามาขอโทษ ที่รองอธิบดี ใช้กริยาวาจาที่ไม่สมควรตลอดเวลาที่พูดคุย และได้แจ้งให้ทราบว่าเพิ่งมารับตำแหน่งวันแรก
 
หากไม่มีการถอนหมายจับ ผู้ใหญ่ น่าจะตำหนิอย่างแน่นอน แต่ไม่ทราบว่า ผู้ใหญ่คนนี้หมายถึงใคร หลังจากนั้น ผู้พิพากษาเวร ได้เขียนข้อความการเพิกถอนหมายจับและหมายค้นในกระบวนการพิจารณาฉบับเดิม และมีการเขียนว่า ให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาใน 15 วัน หากไม่มีการออกหมายเรียก หรือออกหมายเรียกแล้วไม่มา ให้มาขอหมายจับใหม่
 
แต่ถึงปัจจุบันก็ไม่เคยมีการออกหมายเรียก สว.ทรงเอ มารับทราบข้อกล่าวหาแต่อย่างใด และสาเหตุที่ไม่ได้ร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เนื่องจากเกรงว่าผู้พิพากษาเวรจะเดือดร้อนจากการถูกแทรกแซงการใช้ดุลยพินิจจากผู้บังคับบัญชา
 
หลังจากนั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่าน พ.ต.ท.มานะพงษ์ ถูกย้ายไปประจำที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ส่วนผู้บังคับบัญชาของเขาได้ถูกย้ายไปอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ โดยเอกสารของ พ.ต.ท. มานะพงษ์ ระบุว่า เป็นการย้ายที่พวกเขา ไม่สมัครใจ และไม่สามารถเกี่ยวข้องกับคดีของ สว.คนดังกล่าวได้อีก

พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35 

รับชมผ่าน YouTube ได้ที่ https://youtu.be/HlQ-9-UEjsA