เช้านี้ที่หมอชิต - เมื่อวานนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีถ้อยคำสื่อสารทางการเมืองที่สำคัญออกมาจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องถอดความกันให้ดี แต่ก่อนที่เราจะไปอ่านสาร นี้ด้วยกัน คลิปนี้อยากให้ดูกันบ่อย ๆ แล้วจะเห็นว่า พลเอกประวิทย์ กำลังทำอะไรอยู่
การวางระยะห่างของ พลเอกประวิตร ต่อ พลเอกประยุทธ์ เป็นจังหวะก้าวทางการเมืองที่เปิดออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายอาจมีเดิมพันถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านเองคงรู้ดีว่า การจะไปถึงจุดนั้นได้ ลำพังแค่เสียง สว. ในมือคงไม่พอ นั่นจึงปฏิเสธไม่ได้เลยที่จะต้องยื่นมือออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะในซีกฝั่งประชาธิปไตย ที่โอกาสกวาดเสียงข้างมากในสภามีมากกว่า ท่าทีการขยับถอยออกจากฝ่ายรัฐประหาร จึงเด่นชัดขึ้นทุกที เสมือนผลักให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียว
หากถามว่ากลยุทธ์นี้สำเร็จแค่ไหน มันก็เพียงพอที่จะให้ขั้วที่เคยยืนตรงข้าม สะดวกใจมากขึ้นที่จะเดินเข้ามาหา ดังเช่นกรณีของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่เปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐไปแล้ว ขณะที่ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวช ตัวตึงฝ่ายประชาธิปไตย ก็ออกมายืนยันชัดเจนว่าทำงานร่วมกันได้ หากไม่มี พลเอกประยุทธ์ อยู่ในสมการนี้
หากยังไม่ชัดพอ วันนี้เรามาลองอ่านจดหมายฉบับล่าสุดจาก พลเอกประวิตร ที่เปิดใจผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ซึ่งเนื้อความกล่าวถึง ความจำเป็นต้องก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายอำนาจนิยม-ฝ่ายเสรีนิยม
ใจความโดยสรุป จดหมายฉบับนี้กล่าวถึงตัวตนของท่านที่เข้าใจทั้งสองฝ่าย เพราะจากมุมมองของ นายทหารผู้น้อย ที่ค่อย ๆ เติบโตมาถึง ผู้บัญชาการกองทัพ ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวทำให้ได้รับรู้ความห่วงใยของคนในวงการต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีบทบาทสูงต่อความเป็นไปของประเทศ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายว่า กลุ่มอิลิท ที่มอง ความเป็นมาและพฤติกรรมของนักการเมือง ด้วยความไม่เชื่อถือ และความไม่เชื่อมั่นลามไปสู่ความข้องใจใน ประชาธิปไตย และ ความรู้ความสามารถของประชาชน ในการเลือกนักการเมืองเข้ามาครอบครองอำนาจบริหารประเทศ จนนำไปสู่การรัฐประหาร เพราะเชื่อว่าโอกาสที่จะเข้ามาช่วยประเทศชาติได้ มีเพียงช่วงที่ รัฐบาลมาจากอำนาจพิเศษ หรือการปฏิวัติรัฐประหารเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ท่านก็บอกด้วยว่า นั่นเป็นความคิดในช่วงแรก แต่หลังจากเข้ามาทำงานร่วมกับนักการเมือง และตั้งพรรคการเมือง ทำให้ได้รับประสบการณ์อีกด้าน อันทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศไปด้วย ระบอบประชาธิปไตย ขีดเส้นใต้ย้ำสิ่งที่ท่านสื่อสารให้อีกครั้งชัด ๆ ท่านบอกว่า เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศไปด้วย ระบอบประชาธิปไตย
เพราะในความเป็นจริงทางการเมือง ไม่ว่านักการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ที่สุดแล้ว ผู้ที่มีอำนาจตัดสินว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ก็คือ ประชาชน ความรู้ ความสามารถของ กลุ่มอิลิท ทำให้ประชาชนศรัทธาได้ไม่เท่ากับนักการเมือง ที่คลุกคลีกับชาวบ้านจนได้รับความรัก ความเชื่อถือมากกว่า นี่คือต้นตอของปัญหาที่สร้างความขัดแย้ง ขยายเป็นความแตกแยกระหว่าง ฝ่ายอำนาจนิยม กับ ฝ่ายเสรีนิยม ที่หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ เพราะพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเอง ชนะอย่างเด็ดขาด-ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นสูญ กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ
ซึ่งท่านย้ำทิ้งท้ายว่า ผมจะค่อย ๆ เล่าให้ฟังถึงรายละเอียดในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อให้ได้เห็นภาพได้ชัดขึ้น และจะชี้ให้เห็นถึง ความจำเป็นต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง จากนั้นจะบอกให้รู้ว่า ทำไมผมถึงเชื่อมั่นว่า ผมทำได้ และ จะทำอย่างไร หากประชาชนให้โอกาสผม พร้อมบอกว่า เนื้อหาของจดหมายทุกฉบับที่จะเกิดขึ้น ผ่านการตรวจทานจากผมแล้ว และผมขอรับผิดชอบทุกตัวอักษร
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35
+ อ่านเพิ่มเติม