เมื่อพูดถึง Passive Income หรือการให้เงินทำงานเอง โดยเราอยู่แบบเฉย ๆ สบาย ๆ แล้วให้เงินไปต่อเงินเอง ซึ่งบางคนเพิ่งจะเริ่มทำงาน เงินเดือนเริ่มต้นเพียง 15,000 บาท เราสามารถที่จะลงทุนแบบ Passive Income ได้หรือไม่ ?
อย่างแรกต้องทำความเข้าใจกับคำว่า Passive Income ก่อน คือการนำเงินของเราไปต่อยอดสร้างรายได้ รูปแบบที่เราคุ้นกัน คือ ดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือค่าลิขสิทธิ์ สำหรับคนที่เงินเดือนเริ่มต้นเพียง 15,000 บาท นั้น หากเราอยากสร้าง Passive Income ในรูปของดอกเบี้ย ต้องบอกว่าเป็นผลตอบแทนที่ต้องใช้เงินตั้งต้นเยอะพอสมควร ยกตัวอย่าง เช่น หากเราฝากเงิน เราจะได้ดอกเบี้ยประมาณ 0.3-0.5% ซึ่งอาจดูน้อย หรือหากเป็นกองทุน หรือตราสารหนี้ อาจได้ 2-3% หรือการซื้อพันธบัตร หรือหุ้นกู้ ก็อาจได้ 2-4% หากเป็นการปันผลก็อาจได้ 3-5% แต่ว่าหัวใจสำคัญ คือ เงินสะสมที่จะเอาไปลงทุน ดังนั้นหากอัตราผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยและเงินปันผลไม่มาก เราก็ต้องเน้นการสร้างในส่วนของเงินฝากให้เยอะ
คำถามคือ เงินเดือน 15,000 บาท จะทำอย่างไร ให้มีเงินเก็บเงินออมเยอะ ต้องบอกว่าคนส่วนใหญ่มักสนใจเพียงแค่เงินออมและเงินลงทุน โดยลืมมองอีกด้านหนึ่ง คือ หากเราบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี เราก็จะมีเงินเก็บเงินออมเยอะ เช่น การบริหารค่ากินอยู่ และค่าเดินทาง ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า 3 ส่วนสำคัญที่จะทำให้เราสร้าง Passive Income ได้ก็คือ เงินต้นหรือเงินออมที่เยอะ อัตราผลตอบแทนที่โอเค และสุดท้ายคือระยะเวลา หากเราสะสมเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ลักษณะจะคล้ายกับการลงทุนแบบ DCA ซึ่งคนที่ DCA ได้น้อยกว่า กับคนที่ DCA ได้มากกว่า ผลลัพธ์ก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว ทำให้โอกาสในการสร้าง Passive Income แตกต่างกันด้วยเช่นกัน จึงอยากให้กลับมามองโจทย์ง่าย ๆ ก่อนว่า เราจะทำอย่างไรให้เงินต้นที่จะสะสมต่อเนื่องมีมากพอ
ยกตัวอย่างจากเคสหนึ่ง ซึ่งมีการแชร์กันเยอะ คือ เป็นแม่บ้านท่านหนึ่ง ที่ได้เงินเดือน 15,000 บาท แต่แม่บ้านท่านนี้ได้ฝากเงินให้นายจ้างเก็บไว้ทุกเดือน โดยไม่เบิกออกมาใช้เลยเนื่องกินอยู่ฟรีกับนายจ้าง จนเมื่อถึงเวลาครบปีก็ได้ไปเบิกเงินทั้งหมดจากนายจ้าง ทำให้ได้เงินมาครั้งเดียวเป็นแสน ๆ บาท จึงเห็นได้ชัดว่า เราไม่จำเป็นต้องมีรายได้เยอะ หากเรารู้จักเก็บให้ดี ก็ทำให้เราสามารถเห็นเงินก้อนได้ และยิ่งไปกว่านั้น หากเคสแม่บ้านท่านนี้วางเงินไว้ถูกที่ จะยิ่งทำให้ได้เงินเยอะกันไปใหญ่ ชัดเจนว่าหากเราควบคุมการใช้จ่ายได้แล้วนั้น ความมั่งคั่งไม่ได้อยู่ที่รายได้ แต่เป็นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายมากกว่า
คุยเรื่องการเก็บเงินไปแล้ว มาคุยกันในเรื่องการต่อยอดเงินกันบ้าง หากพูดถึงผลตอบแทนของกองทุนหุ้น กองทุนรวมแล้ว ต้องบอกว่ากองทุนหุ้น หรือกองทุนรวม มีทั้งเรื่องผลตอบแทน และความเสี่ยง พูดง่าย ๆ ว่ากองทุนจะนำเงินของเราไปลงทุนในอะไร หากเรานำเงินไปลงในกองทุนหุ้น เป็นกองทุนที่มีความผันผวน แปลว่าหากลงถูกจังหวะ จะทำให้ได้กำไรเยอะ แต่หากลงผิดจังหวะ ก็จะทำให้เงินย่อลง ดังนั้น หากเราเป็นคนที่ออมเงินได้สม่ำเสมออยู่แล้ว วิธีการที่นิยมกัน คือ การทยอยสะสม ด้วยความที่สินทรัพย์ประเภทหุ้น หรือกองทุนหุ้น ในระยะยาวอาจได้ผลตอบแทนที่สูง แต่ในระหว่างทางอาจมีความผันผวน จึงมีการแนะนำกันว่า นำเงินที่สะสมได้ทุกเดือน ด้วยวินัยที่ดีของเราอยู่แล้ว นำไปลงทุนต่อเนื่องแบบถัวเฉลี่ยด้วยเงินเท่า ๆ กันทุกเดือนจะดีกว่า
แต่หากใครที่สนใจจะลงทุนในกองทุนต่าง ๆ อยู่แล้ว คำถามคือ เราจะมีวิธีการเลือกกองทุนในการลงทุนอย่างไรดี ? เบื้องต้นอยากให้พิจารณาจาก 2 เรื่องสำคัญก่อน เรื่องที่หนึ่ง คือ "เป้าหมาย" อยากให้เงินของเราโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ และเรื่องที่สอง คือ "ความเสี่ยง" รับได้หรือไม่ ? หากเงินของเรามีโอกาสย่อลง แต่อาจเป็นเพียงสภาวะการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งหากเรารับได้ ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นได้ แต่หากรับความเสี่ยงไม่ได้ ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนตราสารหนี้ แทน
ทั้งนี้ทั้งนั้น "การลงทุนที่ดีที่สุด" คือ "การลงทุนไปแล้วเรานอนหลับสบาย" ไม่กังวลว่าเงินของเราจะหายไปหรือไม่ ดังนั้น จะเลือกวิธีการลงทุนอย่างไร เราต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับตัวเราเอง
ติดตาม รายการ “เงินทองของจริง” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.05-9.15 น. ทางช่อง 7HD กด 35
+ อ่านเพิ่มเติม