คุณแม่ท่านหนึ่งได้เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ขอความเป็นธรรมให้กับลูกชายที่เป็น “ออทิสติก” โดยตนเองต้องไปทำงานที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งได้นำลูกชายไปฝากเลี้ยงที่บ้านรับดูแลคนออทิสติก และเสียค่าดูแลเดือน 35,000 บาท แต่กลับมาพบว่า ลูกชายถูกทำร้ายร่างกายสารพัด ส่วนอาหารที่บ้านแห่งนี้ให้ลูกชายกินเป็นเพียง ข้าวกับไข่เจียว และข้าวคลุกกับผงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนร่างกายซูบผอม แถมยังมีอาการหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา
คุณแม่ท่านนี้ เดินทางเข้าร้องต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองต้องไปทำงานอยู่ที่ประเทศเยอรมัน แล้วต้องฝากเลี้ยงลูกชายออทิสติกที่บ้านรับดูแลคนออทิสติก โดยมีการเรียกเก็บค่าดูแลเดือนละ 35,000 บาท
จำนวนเงินกว่า 35,000 บาท แน่นอนว่า คุณแม่คาดหวังไว้ว่า ลูกชายต้องได้รับการดูแลอย่างดีไม่ต่างจากที่ตนเองดูแลลูก แต่สิ่งที่คุณแม่คาดหวังกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะลูกชายกลับถูกทำร้ายร่างกายสารพัด ทั้งถูกมีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอก ถูกสากกะเบือทุบจนมือบวม ใช้ไฟแช็กลนแขน ส่วนด้านความเป็นอยู่นั้น ลูกชายของคุณแม่ต้องกินข้าวกับไข่เจียว ข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกือบทุกวัน จนร่างกายซูบผอม และทุกวันนี้มีอาการหวาดผวา หวาดระแวง และพฤติกรรมความก้าวร้าว ซึ่งตัวของคุณแม่ต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
คุณแม่แหม่ม ยังบอกอีกว่า ตนอยู่กับสามีและทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. 2565 และได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่ จ.อุบลราชธานี โดยนายเม่น ลูกชายที่อาศัยอยู่กับยายและหลานของตน บอกว่าอยากไปโรงเรียน และอยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็ตามใจลูก เพราะคิดเราก็อายุมากคงดูแลลูกไม่ได้ตลอด
จากนั้นได้พยายามติดต่อหาโรงเรียนสำหรับคนออทิสติก แต่ครูแนะนำว่า ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้ามาเรียนกับเด็ก ๆ อาจจะเกิดความแตกต่างและอึดอัด จึงได้แนะนำสถานที่รับดูแลคนออทิสติกแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และได้ติดต่อพาลูกไปที่บ้านแห่งนี้
จากการตรวจสอบสถานที่รับดูแลคนออทิสติกแห่งนี้ พบว่า เป็นบ้าน 2 ชั้น อยู่ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีครูพี่เลี้ยง 5 คน ซึ่งจะดูแลเด็กออทิสติกทั้งอยู่ประจำและไปกลับ ซึ่งครูที่เป็นเจ้าของ ได้แจ้งค่าใช้จ่ายรายเดือน สำหรับการอยู่ประจำเดือนละ 30,000-35,000 บาท และบอกว่า จะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมให้ทำ พาไปเที่ยวบ้าง และจะไม่ให้เด็กใช้มือถือในช่วงแรก โดยผู้ปกครองจะต้องติดต่อผ่านครู เพราะกลัวเด็กจะไม่เชื่อฟัง
โดยวันที่ 18 ก.ค. 2565 ได้พาลูกชายไปส่งที่สถานที่แห่งนี้ พร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และยาประจำตัวที่แพทย์ให้กินทุกวัน จากนั้นคุณแม่ได้เดินทางกลับประเทศเยอรมนี โดยช่วง 2 เดือนแรก คุณครูได้ส่งรูปลูกชายเวลาทำกิจกรรมวาดรูป ทานอาหาร มาให้แม่ดู ซึ่งก็คิดว่า “ลูกคงมีความสุข” และครูยังบอกอีกว่า ลูกไม่ได้กินยาต่อเนื่องแล้ว โดยอ้างว่าพาไปอาจารย์หมอ บอกว่า ลูกชายเป็นปกติไม่ต้องกินยาแล้ว
แต่พอเข้าสู่เดือน พ.ย. 2565 แม่สังเกตเห็นในรูปว่า ลูกชายซูบผอม มีร่อยรอยที่ดวงตา ใบหน้า และที่แขน โดยครูอ้างว่า ลูกชายเดินชนก๊อกน้ำ ตอนแรกแม่ก็ไม่คิดอะไรแต่พอผ่านไปร่องรอยที่ใบหน้าและตามตัวก็ยังไม่หาย
พอวันที่ 30 พ.ย. 2565 น้าสาวกลับจากเยอรมนีมาประเทศไทย เพื่อมาเยี่ยมหลาน แต่พอมาถึงบ้านหลังนี้ คุณครูได้อ้างว่า ให้น้าเข้าพบเด็กไม่ได้ เพราะต้องระวังเรื่องโควิด-19 ทั้งที่น้าสาวได้ตรวจ ATK และนำผลตรวจมาแสดง จึงทำได้เพียงแค่คุยกับหลานผ่านวิดีโอคอล ซึ่งสงสารหลานมาก เพราะเห็นมีสภาพซูบผอมและร้องไห้ตลอดเวลาระหว่างคุยวิดีโอคอล
คุณแม่เล่าอีกว่า หลังน้องสาวของตนได้เล่าให้ฟัง จึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยในวันที่ 23 ธ.ค. 2565 และแชตคุยบอกครูว่า จะไปรับทันทีที่มาถึง เพื่อกลับบ้านใน จ.อุบลราชธานี แต่ครูก็บ่ายเบี่ยง อ้างว่าครูมีโปรแกรมจะพาเด็ก ๆ ไปเที่ยว แม่เห็นผิดสังเกตจึงให้คนรู้จักไปดูที่บ้าน ก็พบว่า ทุกคนยังอยู่ในบ้าน ไม่มีการพาเด็กไปเที่ยวแต่อย่างใด จากนั้นแม่ก็ได้แจ้งคุณครู ขอให้คนรู้จักรับเด็กกลับที่ จ.อุบลราชธานี ทันที
พอคุณแม่กลับถึงประเทศไทย ได้พบกับลูกชายที่ในสภาพซูบผอม จมูกผิดรูป มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้ายที่ใบหน้าและแขน มีรอยถูกแทงที่หน้าอกซ้าย และมือบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนลูกมีอาการหวาดผวา
แม่ต้องใช้เวลาหลายวันจนกว่าลูกจะบอกว่า ถูกครู 3 คน ทำร้าย โดยครูผู้หญิงใช้ไม้เรียวตีเวลาโมโห และลูกยังบอกอีกว่า มีวันหนึ่งลูกชายทำพริกป่นหกพื้น ครูผู้ชายคนที่ 1 มาเห็นจึงเอาพริกป่นยัดใส่ปาก และใช้สากกะเบือตีมือจนมือบวมปวดมาก และอีกวันครูผู้ชายคนที่ 2 หาว่า ลูกชายไปหยิบขนมเพื่อนกิน จึงเอามีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอก ซึ่งตอนนี้ยังมีแผลเป็นอยู่
จากนั้นวันที่ 28 ธ.ค. 2565 แม่ได้พาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี ซึ่งพบว่า เด็กมีอาการก้าวร้าว หวาดผวา จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลากว่า 21 วัน (ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 65 ถึง 18 ม.ค. 66) เพราะต้องดูอาการและปรับยา เนื่องจากขาดยามาเป็นเวลานาน แม่เสียใจมากที่ลูกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ลูกอยู่อย่างทนทุกข์ถูกทำร้าย
นอกจากนี้ คุณแม่ยังบอกอีกว่า ลูกชายเล่าว่า เวลาอยู่ที่บ้านหลังนี้ คุณครูส่วนใหญ่จะกินแต่ข้าวไข่เจียว และข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เราไปดูคลิปที่มีการบันทึกได้กัน
คุณแม่ยังบอกกับทีมข่าวอีกว่า ต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะเขาทำกับลูกแม่แบบนี้ และไม่รู้ว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้จะถูกกระทำแบบลูกแม่หรือไม่ เพราะทางบ้านแห่งนี้จะกีดกันไม่ให้ผู้ปกครองเด็กรู้จักพูดคุยกันเลย และก็ไม่ให้คุยกับเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งเขาอ้างว่า เดี๋ยวเด็กจะไม่เชื่อฟังครู โดยอยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่า สถานที่ดังกล่าวเปิดถูกต้องหรือไม่ และคุณครูที่ดูแลมีใบอนุญาตหรือไม่ด้วย
โดยเวลา 14.30 น. นางปวีณา ได้พาแม่ของหนุ่มออทิสติกเข้าพบ และประชุมร่วมกับ พล.ต.ต. ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี พ.ต.อ. พฤฒ จำรูญศาสน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง และ นางสาวบุณยวีร์ ลุมาดกมลพันธ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี เพื่อเร่งติดตามคดีที่ได้แจ้งไว้ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. 2566
นอกจากนี้ จะขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบว่า สถานที่เปิดบ้านดูแลคนออทิสติกแห่งนี้มีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ และเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พิจารณาความถูกต้องและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจสอบดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดโดยเร็ว เนื่องจากปัจจุบัน ในประเทศไทยได้มีการเปิดเนอสเซอรี สถานรับเลี้ยงเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลคนพิการจำนวนมาก จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบเร่งด่วน
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35