เช้านี้ที่หมอชิต - ชูวิทย์ บี้กระบวนการยุติธรรมกลางน้ำ บุกสำนักงานอัยการสูงสุด หวังพบ นางสาวนารี ตัณฑเสถียร จี้จัดการอัยการไม่ดีออกไป เหตุสั่งไม่ฟ้อง ลูกเมียเสี่ยกำพล กรณีค้ามนุษย์วิคตอเรีย ซัด หากไม่กล้ารื้อระบบ อยู่ไปก็เปลืองภาษีประชาชน
เมื่อวานนี้ ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายชูวิทย์ กมลวิษฎ์ เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของพนักงานอัยการระดับอธิบดีอัยการ ที่มีคำสั่งไม่ฟ้อง นายธนพล และ นางนิภา วิระเทพสุภรณ์ ลูกและภรรยาของนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ อาบ อบ นวด วิคตอเรียซีเครท โดยมีการประสานล่วงหน้าเพื่อขอพบ นางสาวนารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด แต่ไม่ได้พบโดยส่งตัวแทนมารับหนังสือแทน ทำให้เมื่อยื่นหนังสือเสร็จ นายชูวิทย์ จึงได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ด้วยหัวข้อว่า ควานหาความยุติธรรม เนื้อความโดยสรุปดังนี้
วันนี้ไปขอพบ อัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนถึงพฤติการณ์ของอัยการบางคนที่สั่งไม่ฟ้อง และถอนหมายจับคดีค้ามนุษย์ ทั้งที่คดียังอยู่ในกระบวนการศาล ขัดต่อหลักเหตุผล และหลักกฎหมาย แต่ไม่ขัดหลักการเงิน ยิ่งจ่ายมาก ยิ่งมีโอกาสหลุดมาก และเหมือนเคยไม่ได้เข้าพบ แม้ว่าท่านจะนั่งอยู่ในห้อง และมีการประสานงานมาแล้ว
ไม่ทราบว่า ท่านนารี ตัณฑเสถียร จะกลัวอะไรหนักหนา? ผมเป็นประชาชนมาหาทนายแผ่นดิน หากจะอ้างว่าเมื่อให้ผมพบ ก็ต้องให้ใครต่อใครพบไปหมด ขอเรียนให้ทราบว่า หากท่านคิดอย่างนั้นจริงก็อย่าไปเป็นอัยการสูงสุดเลยครับ
คุณชูวิทย์ ยังระบุอีกว่า ความเท่าเทียมไม่เกิด เพราะมีอัยการบางคนรับผลประโยชน์ ท่านนารี อัยการสูงสุด ควรปรับปรุงพฤติกรรม และทัศนคติเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบัน ในการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และเป็นผู้ยืนอยู่ในความถูกต้องของหลักกฎหมายและเหตุผล
ท่านต้องปกป้องสถาบันอัยการของท่านเอง เอาอัยการไม่ดีออก และปัดกวาดระบบยุติธรรมกลางน้ำเสีย หากเรื่องแค่นี้ท่านไม่กล้าทำ อยู่ไปก็เปลืองเงินเดือนภาษีอากรของผมที่เอาไปให้ท่าน ลาออกไปเถอะครับ
สาเหตุความเกรี้ยวกราดนี้ของ คุณชูวิทย์ มาจากกรณีใช้อำนาจอัยการวินิจฉัยสั่งคดีโดยมิชอบ เป็นคดีสืบเนื่องจากการบุกช่วยเด็กสาวอายุ 15 ปี ที่ถูกบังคับค้าประเวณีในมาเลเซีย ซึ่งการสืบสวนพบว่าเกี่ยวข้องกับ อาบ อบ นวด วิคตอเรีย ในไทย เข้าข่ายค้าประเวณีและค้ามนุษย์ โดยขณะนั้นคดีวิคตอเรีย มี นายกำพล และครอบครัว เป็นผู้ต้องหา
คดีนี้จึงเเยกเป็น 2 สำนวน สำนวนเเรก เป็นคดีนอกราชอาณาจักร มีอัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน คดีที่ 2 มีการดำเนินคดีกับ นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ กับภรรยาเเละลูก
ต่อมา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องในสำนวนคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวมีการพิพากษาเกินคำขอ ไปวินิจฉัยในส่วนพฤติการณ์ของ นายกำพล ภรรยา เเละลูก ว่าไม่มีความผิดฐานค้ามนุษย์ เป็นเหตุให้อธิบดีอัยการที่รับผิดชอบสำนวนนำคำวินิจฉัยของคำพิพากษาดังกล่าวมาเป็นเหตุในการสั่งไม่ฟ้องลูกและภรรยาของนายกำพล คงเหลือเเต่นายกำพลคนเดียว เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องสำนวนจะถูกส่งไปยังดีเอสไอเพื่อทำความเห็นเเย้ง ซึ่ง อธิบดีดีเอสไอ ในยุคดังกล่าวเห็นตามด้วย คดีจึงสิ้นสุดด้วยการสั่งไม่ฟ้อง เเต่ในส่วน นายกำพล ที่ยังสั่งฟ้องอยู่ เพราะยังไม่มีอัยการสูงสุดคนไหนกล้าสั่งไม่ฟ้อง เเต่ที่ตนต้องมาร้องเพราะกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำเเละกลางน้ำมันบิดเบี้ยว
นายชูวิทย์ อ้างว่า ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการพนักงานอัยการยื่นอุทธรณ์ มีพนักงานอัยการบางคน ได้พยายามนำคำตัดสินศาลชั้นต้น ไปขอถอนหมายจับจำเลย เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาบางคนพ้นคดีไปโดยปริยาย ส่วน นายกำพล ผู้ต้องหาหลัก หลบหนีไประหว่างอุทธรณ์ ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องก็ไม่ถูกยึดอายัด อีกทั้งยังมีผู้ต้องหาที่หลุดคดีกลับมาสู่วงการธุรกิจ อาบ อบ นวด อีกครั้ง และเกี่ยวข้องกับ สารวัตรซัว ที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมในเวลานี้ โดยเป็นลักษณะหุ้นส่วนกัน
พบกับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.50-7.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35
รับชมผ่าน YouTube ได้ที่ https://youtu.be/t6kMddHRteg
+ อ่านเพิ่มเติม