คำพูดที่ว่า “ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร” เป็นคำพูดที่ยังใช้ได้จริงในทุกยุคสมัย อย่างกรณีของ คุณลุงวัย 67 ปี ซึ่งอ้างตัวเป็นเศรษฐีร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า มาร้องเรียนกับสื่อมวลชนว่า ถูกลูกชายและสะใภ้ทำร้าย ทั้งกักขัง จับกรอกยา ก่อนถ่ายเททรัพย์สมบัติกว่า 65 ล้านบาท
แต่พอเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูล กลับพบว่า มีประวัติรักษาอาการทางจิตเวชในโรงพยาบาล และสงสัยว่า เรื่องเกิดมาตั้งแต่ปี 2563 - 2565 แต่ทำไมเพิ่งเข้ามาแจ้งความ
เรื่องนี้ทำเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดฉะเชิงเทราปวดเศียรเวียนเกล้า ต้องเร่งสอบสวนเป็นการด่วน หลังจากที่ “เฮียหมู” (นามสมมติ) อายุ 67 ปี ซึ่งอ้างเป็นเศรษฐีเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ใน อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เข้าร้องเรียนสื่อมวลชน โดยเจ้าตัวอ้างว่า ถูกลูกชายและลูกสะใภ้อุ้มตัวไปกักขังภายในบ้านหลังหนึ่ง และยังมีการจับกรอกยาทุกวันมานานกว่า 2 ปีแล้ว
นอกจากนี้ ยังจัดฉากร้องต่อศาลให้เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ก่อนจะยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินกว่า 65 ล้านบาทไป กระทั่งต้องอาศัยจังหวะที่ลูกชายและลูกสะใภ้เผลอ หลบหนีออกมาจากนรกบนดินแห่งนี้ และภรรยาคู่ชีวิตได้ผูกคอเสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว
โดยได้มีการนำเรื่องราวนี้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พลตำรวจตรี นเรวิช สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา และ พันตำรวจเอก ณัฐจักร จันลา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีการโชว์บาดแผล ซึ่งเป็นร่องรอยแผลเป็นตามแขนและขา โดยอ้างว่า ลูกชายและลูกสะใภ้เป็นคนทำ รวมถึงพ่อและแม่ฝั่งของลูกสะใภ้ มีการทุบตีทำร้ายร่างกายโดยใช้ไม้เมตรตีจนกระทั่งเกิดแผล แต่ก็ไม่ได้รับการรักษา ปล่อยให้แผลแห้งจนหายและสมานกันเอง เกิดเป็นแผลเป็นตามแขนขา และยังให้กินยาสลบหมูเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี โดยได้นำตัวไปกักขังไว้ในห้อง
ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบกับหลานสาวของเฮียหมู เพื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยหลานสาวเล่าว่า เมื่อปี 2563 ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวทั้งหมด ตนได้ไปเฮียหมูและเมีย นอนอยู่ภายในห้องมืด ๆ
โดยเฮียหมูกับเมียได้ถูกไว้ขังบนชั้นสองของบ้าน ซึ่งอยู่ในสภาพที่มีอาการสับสน ส่วนเมียลิ้นแข็ง และที่ปากมีคราบบางอย่างเปื้อนอยู่ จึงถามไปว่า ไปโรงพยาบาลไหม เพราะอยากจะรู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร
หลานสาว ยังเล่าว่า จากนั้นอุ้มเฮียหมูกับเมียไปโรงพยาบาล แต่หมอแค่ตรวจอาการเบื้องต้น เนื่องจากเป็นเวลาค่ำ จึงต้องรอพบหมอเพื่อทำการตรวจอาการในช่วงเช้าของวันถัดไป และในวันที่ไปโรงพยาบาล ทางลูกชายเฮียหมูก็เข้ามาอ้างสิทธิขอรับตัวพ่อและแม่กลับบ้านไป
หลานสาว บอกอีกว่า จากนั้นก็ไม่พบหน้าเฮียหมูและเมียอีกเลย แม้ตนจะคอยสอบถามถึงอาการป่วยของเฮียหมูและเมีย แต่ก็ได้รับคำตอบจากลูกเขาว่า ทั้งคู่มีสุขภาพร่างกายที่ดี พอตนจะขอเข้าไปพบหน้า แต่ถูกกีดกันและปฏิเสธมาโดยตลอด
ด้าน เฮียอ๋า น้องชายเฮียหมู ซึ่งอยู่บ้านติดกันได้กล่าวว่า ตอนแรกไม่รู้เลยว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ถูกวางยา เพราะหลานชายมักโพสต์ภาพทั้งคู่ลงโซเชียลในสภาพอยู่ดีกินดี จึงไม่เอะใจ ตอนที่พี่ชายและพี่สะใภ้ป่วย ก็ได้พาญาติเข้าไปดูเพื่อที่จะนำไปรักษา แต่ลูกชายไม่ยอมให้เอาพ่อและแม่ไป โดยอ้างสิทธิ์ในการดูแลตามกฎหมาย ส่วนสาเหตุการป่วยนั้น ตนยืนยันว่าโดนวางยาไม่ใช่โรคอัลไซเมอร์แน่นอน
และคนที่จะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดได้ดีที่สุด ก็คือ เฮียหมู โดยเล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าลูกชายแท้ๆจะทำกับพ่อแม่แบบนี้ เคยเห็นแต่ในทีวีหรือในละคร ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอกับตัว ทำให้คิดได้ว่า ชีวิตจริงมันเป็นแบบนี้
เฮียหมูเล่าอีกว่า ตนและเมียถูกลูกชายที่รวมหัวกับลูกสะใภ้ ลักพาตัวออกจากบ้านไปกักขังเอาไว้ที่บ้านของพ่อตาแม่ยาย โดยขังเอาไว้ตั้งแต่ปี 2563-2565 หลังจากนั้นตนได้หนีออกมาได้
ตอนแรกได้ขังเอาไว้ภายในห้องขนาด 4 คูณ 8 เมตร มีการปิดประตู หน้าต่าง ใช้สังกะสีตอกตะปูปิดไว้ เพื่อไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ตอนแรกก็ยังมีทีวีให้ดู แต่ช่วงหลังก็ยกทีวีออกไป หน้าต่างทำเป็นลูกกรง คล้ายห้องขัง ทำเป็นป่องสี่เหลี่ยมพื้นผ้า
ส่วนการให้อาหารนั้น จะมีถาดข้าว ถาดน้ำ ซึ่งกับข้าวส่วนใหญ่ก็เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและปลากระป๋อง ส่วนน้ำดื่มเป็นน้ำที่กรอกมาจากน้ำประปา และข้าวของเครื่องใช้ ก็มีให้เพียงแค่ผ้า 1 ฝืน และหมอน 1 ใบ ช่วงเวลาที่ถูกขัง ลูกจะให้อาบน้ำ 3 เดือนต่อครั้ง ที่สำคัญภายในห้องที่คุมขัง ไม่ได้มีห้องน้ำ เขาให้ใช้เก้าอี้ 4 ขา และเอาถุงดำใส่เข้าไปเวลานั่งขับถ่าย หลังจากทำธุระเสร็จ ก็จะมัดปากถุงและกองเอาไว้ในห้อง ซึ่งจะมีแม่บ้านใส่ชุดพีพีอี มาเก็บเดือนละ 1 ครั้ง บางทีก็กองเต็มห้องส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปหมด
นอกจากนี้ ยังมีการเอายาบางอย่างมาให้บังคับให้กิน กิน เป็นน้ำสีชมพู เป็นยาเหลวใส่ในสลิ้ง 200 ซีวี โดยบังคับให้ตนและเมียกิน หลังจากกินไปแล้วจะอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ บางทีหลับไป 2-3 วัน และหลังจากตื่นขึ้นมาจะพูดสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คล้ายกับคนเป็นใบ้ พูดไม่มีเสียง
บางครั้งก็ถูกบังคับให้กิน โดยฉีดเข้าใส่ปาก แต่ตนรู้ทันไม่ยอมกิน เขาก็จะใช้คีมบีบปากให้กิน บางครั้งตัวของแม่ยายก็จะเอาไฟฟ้าช็อต หรือลูกสะใภ้ก็จะใช้ไม้เบสบอลทุบตี เพื่อให้ตนเองและภรรยายอมกิน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เฮียหมูก็ยังพร้อมที่จะให้อภัยลูกชาย ส่วนทางลูกสะใภ้ พ่อตาแม่ยายนั้น ตนยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ส่วนเรื่องทรัพย์สินนั้นตนก็ทำใจอยู่ว่า อาจจะไม่ได้คืน เนื่องจากตนคิดว่า ลูกชายและลูกสะใภ้คงใช้เงินไปหมดแล้ว
มาดูไทม์ไลน์เหตุการณ์ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรกันบ้าง โดยเป็นข้อมูลหลังจากที่หลานสาวได้เปิดเผยไว้กับทีมข่าวที่ได้เล่าไปเมื่อสักครู่นี้
โดยวันที่ 10 ก.ค.2563 ลูกชายของเฮียหมู ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่งให้เฮียหมูเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และให้ตั้งให้ตัวเองเป็นผู้พิทักษ์
จากนั้น 14 ก.ย.2563 ศาลมีคำสั่งให้เฮียหมู เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และให้ลูกชายเฮียเป็นผู้พิทักษ์ 25 พ.ค.2565 เฮียหมูได้หนีออกมาจากบ้านลูกชาย ซึ่งอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ต่อมาวันที่ 6 มิ.ย.2565 เฮียหมูได้ยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และเพิกถอนคำสั่งให้ลูกชายเป็นผู้พิทักษ์
จากนั้น 1 ส.ค.2565 ศาลได้มีคำสั่งเพิกถอนให้เฮียหมู พ้นจากการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และเพิกถอนลูกชายจากการเป็นผู้พิทักษ์
หลังจากที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนเฮียหมูจากการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว วันที่ 16 ส.ค.2565 เฮียหมูได้ไปที่ธนาคาร และพบว่า เงินของตัวเองถูกโอนไปยังบัญชีลูกเฮียชายเกือบทั้งหมด
ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุด พลตำรวจตรี นเรวิช สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่า เรื่องนี้ความยาก เพราะเป็นเรื่องของครอบครัว และเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งต้องใช้ในหลักฐานวิทยาศาสตร์ในที่เกิดเหตุ ส่วนกรณีการเสียชีวิตของภรรยาเฮียหมู ตอนนั้น มีการเคลื่อนย้ายขณะที่ตำรวจลงพื้นที่ และมีการเก็บหลักฐาน แต่ตอนนั้นยังไม่พบหลักฐานบ่งชี้การฆาตกรรม ต้องไปดูจุดที่ผูกคอว่า มีความเป็นไปได้ขนาดไหน
ส่วนภายในกะเพาะของผู้เสียชีวิต พบมีสารตกค้างเป็นสารจำพวกในยารักษาโรคซึมเศร้าและคาเฟอีน ซึ่งเฮียหมูเคยมาแจ้งความแล้ว 2 ครั้ง แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ ส่วนวันนี้จะมีการสอบสวนเฮียหมูเพิ่มเติม เพื่อชี้จุดสถานที่ที่อ้างว่าเกิดเหตุหลักๆ 3 จุด คือ บ้านเฮียหมู และอีก 2 จุด คือ บ้านของพ่อตาและแม่ยาย ในพื้นที่ อ.เมือง โดยต้องขอศาลออกหมายค้น
ส่วนอีกจุดใหญ่คือ ร้านขายเครื่องไฟฟ้าของพ่อและแม่ยาย ซึ่งหลังบ้านคือ สถานที่ที่เฮียหมู ระบุว่า เป็นจุดที่ถูกกักขัง โดยมีทีมข่าวเราเกาะติดเรื่องนี้และไปยังสถานที่ดังกล่าวด้วย หากมีความคืบหน้า จะรายงานให้ทราบทันที
ส่วนกรณีที่ระบุว่า ลูกชายและลูกสะใภ้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้ว เบื้องต้นตรวจสอบรู้แล้วว่าอยู่ไหน มีทั้งอยู่ไทยและต่างประเทศ แต่อาจจะออกไปท่องเที่ยวก็ได้ และที่คนระบุว่าเสี่ยหมูมีอาการจิตเวช เสี่ยโตบอกว่าเป็นการวิเคราะห์ภายหลังการเกิดเหตุในการถูกกักขัง
และเบื้องหลังข่าวกับกาย สวิตต์ ทีมข่าวเราได้พูดคุยกับอาจารย์จิ๊บ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นครูสอนพิเศษที่มีความสนิทสนมกับลูกชายของเฮียหมู โดยเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกให้กับทีมข่าว
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35