หนุ่ม รปภ.ผวา ชายฉกรรจ์อ้างเป็น ตร. เข้าหมู่บ้านไม่แลกบัตร อวดเบ่ง-โชว์ปืน ขู่“ระวังตัวด้วย” !

หนุ่ม รปภ. เด็กพิเศษ หวาดผวา ไม่กล้ากลับไปทำงาน หลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ อ้างตนเป็นตำรวจ ขอเข้าหมู่บ้าน แต่ไม่ยอมแลกบัตร พร้อมข่มขู่ โชว์ปืน บอกให้ "ระวังตัวไว้" 

 

 

            วันที่ 9 ก.พ. 66 ดูอา รปภ.ที่ถูกข่มขู่ ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า ตนปฏิบัติหน้าที่เป็น รปภ. ของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านอ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ซึ่งได้มีชายฉกรรจ์ 4 คน ขับรถเข้ามาที่หมู่บ้าน อ้างว่าเป็นตำรวจ ขอความร่วมมือให้เข้าไปในหมู่บ้านหน่อย ตนจึงบอกให้เขาแลกบัตร เนื่องจากเคยมีตำรวจเข้ามาที่หมู่บ้านแล้ว เขาก็แลกบัตรตามปกติ แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ยอมแลก บอกว่า เป็นตำรวจแลกบัตรไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ตามกฎแล้วเขาต้องเอาบัตรมาให้ตนถ่ายรูปแทนการแลกบัตร แต่เขาให้ตนดูบัตรเพียงครู่เดียว แล้วก็เก็บไป จากนั้นก็เกิดการโต้เถียงกัน ฝ่ายคู่กรณีเริ่มมีการใช้คำหยาบ โดยเขาเป็นฝ่ายด่าตนก่อน บอกว่า "ปัญญาอ่อน พูดไม่รู้เรื่อง"

 

            นอกจากนี้ เขายังขับรถวนเวียน ขู่จะตรวจปัสสาวะหากฉี่ม่วงจะดำเนินคดี พร้อมทั้งยังถกเสื้อโชว์อาวุธปืน และพูดจาข่มขู่ให้หวาดกลัว โดยเขาบอกว่า เดี๋ยวเจอกัน รวมถึงถ่ายรูปรถของตนไปด้วย 

 

 

            ตนได้ถ่ายคลิปเก็บไว้เป็นหลักฐาน หลังจากที่กลุ่มชายฉกรรจ์ลงมาจากรถทั้ง 4 คน เข้ามาประชิดตัวตน นอกจากนี้เขาได้ให้ตนไปเรียกนิติของหมู่บ้านมา แต่ตนก็ไม่ได้ไปเรียก เพราะกลัวเขาจะไปข่มขู่นิติ สุดท้ายตนก็ยืนยันว่าจะไม่ให้เขาเข้า และนิติก็ได้ให้พวกเขาไปทำใบร้องเรียนมา ถึงจะให้เข้าทั้งนี้ตนทำงานที่นี่มา 8 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ไม่เคยมีใครมาข่มขู่ ตนกลัวมาก 

 

 

            ด้าน บอม พี่ชายของ รปภ.ที่ถูกข่มขู่ กล่าวว่า ก่อนที่กลุุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 4 คน จะได้คุยกับนิติ เขามากระชากสมุดจดเวลารถเข้า-ออก ของน้องชาย เพื่อเอาเบอร์นิติไปโทร ซึงตนมองว่ามันเป็นการกระทำแบบนี้มันรุนแรงมาก อีกทั้งเขายังข่มขู่ลูกบ้าน ให้ไปเรียกนิติมา จะคุยเรื่อง รปภ. ซึ่งตามวิสัยตำรวจแล้ว ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ทั้งนี้หลังจากน้องชายตนถ่ายคลิป ชายฉกรรจ์ที่อ้างตัวเป็นตำรวจก็พูดดีขึ้นมาทันที 

 

            ขณะเดียวกัน ทางบ้านก็ไม่อยากให้น้องกลับไปทำงาน เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย แต่ทางนิติเขาติดต่อมาหาน้อง บอกว่าน้องปฏิบัติหน้าที่ดีมาตลอด อยากให้กลับมาทำงาน ตนจึงประสานไปยังสายไหมต้องรอด เพื่อหาหลักประกันความปลอดภัยของน้องชาย เพราะน้องก็ไม่ได้มีปัญหากับหมู่บ้าน หรือลูกบ้าน อีกทั้งน้องยังอยากทำงานเพื่อเงินเลี้ยงดูแม่  

 

 

            ฟาก คณาธิป แก้วสระแสน ทีมสายไหมต้องรอด กล่าวว่า กรณีนี้ รปภ. ทำถูกต้องตามระเบียบที่ได้รับมอบหมายจากนิติ ไม่ว่าใครมาจากไหน แต่ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน ยังไงก็ต้องแลกบัตร และยิ่งเป็นตำรวจก็ยิ่งต้องแลกบัตรแสดงเจตจํานง อีกอย่างคือ เขาไม่ได้มาในชุดตำรวจ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นตำรวจจริงหรือตำรวจปลอม อีกทั้งยังมาข่มขู่อีก ตนคิดว่าตำรวจทำแบบนี้ มันไม่เหมาะ 

 

            ทั้งนี้ ทางสายไหมต้องรอด ได้ประสานงานไปยัง สภ.บางแม่นาง แล้ว และทางทีมงานจะพาผู้เสียหายไปแจ้งความ ที่สำคัญคือตนอยากรู้ว่า ตำรวจทำแบบนี้ได้จริง ๆ หรือ 

 

            ด้าน สงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ให้ความเห็นว่า ตัวผู้เสียหายเป็นเด็กพิเศษ แล้วยังมาถูกฝั่งคู่กรณีด่า "ไอ้ปัญญาอ่อน" ข้อนี้ถือว่าเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้า และที่ตำรวจไปกระชากสมุดของน้องมาก็เข้าข่ายเป็นการชิงทรัพย์ พร้อมทั้งยังเข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ปฏิบัติโดยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ตนก็เข้าใจในมุมของตำรวจ หากตำรวจกำลังจะเข้าไปจับกุมเรื่องบ่อน การพนัน ยาเสพติด ถ้ามัวไปแจ้งสถานที่เป้าหมาย หรือแลกบัตรอยู่ ผู้ร้ายอาจไหวตัวไปแล้ว  

 

 

            ขณะที่ พ.ต.อ.ธรรศกร ก้อนทอง ผกก.สภ.บางแม่นาง เผยว่า ชาย 4 คนที่อยู่ในคลิป เป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนของ สภ.บางแม่นาง 2 ท่าน อีก 2 ท่านเป็นสายข่าวของตำรวจ ซึ่งฝ่ายตำรวจก็เข้าไปปฏิบัติตามหน้าที่จริง โดยได้รับแจ้งว่ามีคนโยนปืนลงมาจากคอนโดนบริเวณนั้น แต่น่าจะเข้าใจผิดเรื่องการแสดงบัตร แลกบัตร และไม่ให้ถ่ายบัตร จึงทำให้เกิดการมีปากเสียงกัน ทางตำรวจจริงขอคุยกับนิติเพื่อชี้แจงว่าจะเข้ามาทำอะไร ซึ่งตามจริงแล้ว ตำรวจก็ควรแลกบัตรตามกฎของสถานที่นั้น ๆ แต่อาจจะเป็นบัตรอย่างอื่น ที่ไม่ใช่บัตรตำรวจ เพราะบัตรของตำรวจต้องติดตัวอยู่ตลอด ส่วนการถ่ายบัตรนั้น ตนคิดว่าแค่จดไปก็พอ เนื่องจากกลัวว่าจะเอาไปทำอย่างอื่น 

 

            ส่วนการที่ตำรวจมีปากเสียง และมีอารมณ์ กับ รปภ. นั้น ตนได้อบรมลูกน้องไปเบื้องต้นแล้วว่ามันไม่เหมาะสม สำหรับประเด็นที่มีการข่มขู่ ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง หากผิดจริงก็จะลงโทษตามวินัย อย่างไรก็ตาม ตนให้คำมั่นเรื่องความปลอดภัยกับผู้เสียหาย ไม่ต้องหวาดกลัวอะไรหากจะกลับไปทำงาน เพราะจริง ๆ แล้วตำรวจต้องรักษาอารมณ์ให้มากกว่านี้