สาวโอนเงินผิด 3 หมื่น ปลายทางไม่คืน อ้างปิดค่างวดรถหมดแล้ว ท้า “อยากได้ก็ไปแจ้งความค่ะ”

สาวช้ำ โอนเงินผิดไป 30,000 บาท ติดต่อตามเรื่อง จนเจอเจ้าของบัญชีปลายทาง สุดท้าย คู่กรณีอ้าง เงินใช้ไปหมดแล้ว คิดว่าเป็นโบนัส พร้อมท้า ไปแจ้งความได้เลย ! 

 

 

            วันที่ 26 ม.ค. 66 เณาวรัตน์ เจ้าของเงิน 30,000 บาท ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 65 เวลาประมาณ 13.50 น. ตนโอนเงินจ่ายค่าสินค้าไป 30,000 บาท ซึ่งปลายทางที่ตนจะโอนให้ ตนเคยโอนให้เขามาแล้วหลายครั้ง แต่วันนั้น ตนกลับกดเลขบัญชีผิดไป 2 หลัก เนื่องจากเขาขอให้โอนไปอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งตัวเขาก็ส่งมาแค่ตัวเลข ไม่ได้ส่งชื่อมาให้ อีกทั้งตอนนั้นตนค่อนข้างรีบ เพราะกำลังจะไปปรับลูก จึงทำให้กดเลขบัญชีผิดไป ตนมารู้ตัวว่าโอนเงินผิดบัญชีตอน 16.00 น. เนื่องจากปลายทางเขาโทรมาบอกตนว่า เงินยังไม่เข้าบัญชี จึงได้ส่งสลีปไปให้เขา ปรากฎว่า มันไม่ใช่ชื่อของเขา 

 

 

            จากนั้นตนเลยโทรไปที่ธนาคารสำนักงานใหญ่ แจ้งว่าเราโอนเงินผิด ซึ่งธนาคารแจ้งว่า เขาไม่สามารถอายัดบัญชีปลายทางที่โอนผิดได้ แต่เขารับเรื่องไว้แล้ว พร้อมทั้งแนะนำให้ตนไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ตนเลยไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.บางตาเถร 

 

            ทั้งนี้ ตน และเพื่อน ๆ นำชื่อและนามสกุลในสลีปโอนเงิน ไปค้นหาในเฟซบุ๊ก ซึ่งก็ไปเจอคนที่นามสกุลเหมือนกัน จึงติดต่อไปหาเขา เล่าเรื่องราวให้เขาฟัง และขอเฟซบุ๊กเจ้าตัวจากคนนี้ จากนั้นตนได้ติดต่อไปทางเฟซบุ๊กของเจ้าตัว และทิ้งเบอร์โทรไว้ให้เขา ซึ่งวันที่ 2 ธ.ค. 65 เขาก็ติดต่อกลับมา จึงได้เช็กชื่อและเลขบัญชีของเขาว่าตรงกับัญชีที่โอนผิดไปหรือไม่ ซึ่งก็ตรง แต่ทางคู่กรณีบอกว่า เขาใช้เงินไปหมดแล้ว เพราะเขาคิดว่าเป็นเงินโบนัสจากทางบริษัท จึงนำรถไปปิดหนี้รถหมดแล้ว ตนจึงบอกเขาว่า ถ้าเงินโบนัสของบริษัทเขาโอนมา ขอให้เอาตรงนั้นโอนคืนตนได้ไหม เขาตอบกลับมาว่า เงินโบนัสเขาก็ใช้ไปหมดแล้ว ส่วนไอเงิน 30,000 ที่ตนโอนผิดไป เขาคิดว่าบริษัทใจดี ให้โบนัสมาอีกรอบหนึ่ง 

 

 

            ขณะที่ ตอนแรก เขาขอคืนเงินแบบผ่อน เดือนละ 3,000 บาท แต่ตนยืนยันว่าอยากได้เงินก้อน ซึ่งเขาก็ไม่มี อ้างว่าไม่มีเงินก้อน ใช้เงินไปหมดแล้ว อีกทั้งเขายังยืนยันว่าเขาไม่ผิด บอกว่าตนผิดเองที่โอนเงินไปให้เขา ตนจึงบอกเขาว่า ถ้าเป็นแบบนั้นตนจะดำเนินการตามกฎหมาย เขาก็บอกให้จัดการได้เลย สุดท้าย ตนเห็นว่าเขาก็มีลูกเหมือนกัน จึงอัดเสียงลูกส่งไปให้เขา โดยลูกบอกว่า "น้าคะ ช่วยคืนเงินให้แม่หนูหน่อยได้ไหมคะ หนูจะไปจ่ายโรงเรียน" แต่เขาก็ยังนิ่ง 

 

            สุดท้ายตนไปแจ้งความที่ สภ.บางตาเถร ทางตำรวจเขาก็เจรจากับคู่กรณีให้ แต่เขาก็ไม่มา ไม่ยอมคุย หรือตกลงอะไร ตำรวจเลยยืนยันว่าจะดำเนินการตามขั้นตอน แต่ทางฝั่งคู่กรณี ก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร บอกตำรวจว่า ได้เลย จนถึงตอนนี้ตนก็ยังไม่ได้เงินคืน  

 

            ฟาก เอ (นามสมมติ) สามีเจ้าของบัญชีปลายทาง กล่าวว่า ตนยอมรับ ว่าผิดจริง ตนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเงิน 30,000 บาท ที่โอนเข้ามา ไม่ใช่เงินของตน ที่ยังไม่โอนเงินคืน เพราะว่า ตนขอใบบันทึกประจำวันจากคุณเณาวรัตน์ เพื่อมายืนยัน แล้วตนจะโอนเงินคืนให้ต่อหน้าตำรวจเลย แต่เขาก็ไม่ได้ส่งมาให้ ที่ต้องทำแบบนั้น เพราะตนกลัวมิจฉาชีพ 

 

 

            ขณะเดียวกัน ที่ตนเอาเงินไปใช้ เพราะตนรับงานทำกราฟิกเป็นพาร์ทไทม์ มีหลายเข้าจ้างงาน ซึ่งบางงานเจ้าของงานเขาโอนเงินมา เขาก็ไม่ได้ก็ไม่ได้แจ้ง ตนเลยไม่รู้ จึงนำเงินก้อนดังกล่าวไปปิดยอดรถ ส่วนตอนที่ตำรวจโทรคุยกับแฟนสาวของตนก่อนหน้านี้ ตนไม่แน่ใจว่าเป็นตำรวจจริงหรือไม่ เนื่องจากเขามาคุยค่อนข้างข่มขู่ ตนเลยยังไม่โอนเงินคืน กลัวเป็นมิจฉาชีพเช่นกัน ขณะที่หมายเรียกจากตำรวจ ตนก็ไม่ได้รับ

 

            อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ตนได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้วว่า เงิน 30,000 ก้อนดังกล่าวที่โอนเข้ามา ตนไม่มีเจตนาจะยักยอกทรัพย์ ทั้งนี้ ตนพร้อมจะโอนเงินคืนให้ คุณเณาวรัตน์ ภายในวันพรุ่งนี้(27 ม.ค. 66) ซึ่งต้องขอโทษ คุณเณาวรัตน์ ที่พูดจาไม่ดี หรือไม่คืนเงิน เพราะตนกลัวจะถูกมิจฉาชีพหลอก

 

 

            ด้าน ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล รองประธานคณะกรรมการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย สภาทนายความฯ กรณีนี้ เป็นความผิดชัดเจน ฝั่งที่รับโอนโดยไม่สุจริต มีความผิดอาญา ฐานยักยอกทรัพย์ มีโทษจำคุก 3 ปี ซึ่งเขารับเงินของคนอื่นไป โดยที่เขาก็รู้ว่าไม่ใช่เงินของตัวเอง ส่วนในทางแพ่ง กฎหมายเขาเรียกว่า "ลาภมิควรได้" เราสามารถดำเนินการแจ้งความได้เช่นกัน ซึ่งตำรวจเขามีอำนาจในการออกหมายเรียกคู่กรณี และดำเนินการเรียกเงินจากคู่กรณีได้ อย่างไรก็ตาม ความผิดมันสำเร็จแล้ว ดังนั้นแนะนำให้ฝั่งคู่กรณีรีบนำเงินมาคืน