อาสาสมัครช่วยงานตำรวจ ใช้อาวุธปืนขนาด .38 จ่อยิง อาสาสมัครด้วยกัน 2 ราย เสียชีวิตอีก 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย ขณะไปช่วย อำนวยความสะดวกในงานแต่งงานของลูกบ้าน หลังเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านช่วยกันจับผู้ก่อเหตุไว้ได้ทัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนยิงกันเสียชีวิตกลางถนนในหมู่บ้านโนนสำราญ หมู่ 8 ต.กุดขอนแก่น อ.ภูเสียง จ.ขอนแก่น มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย หนึ่งในนั้นอาการสาหัส และชาวบ้านช่วยกันจับตัวผู้ก่อเหตุเอาไว้ได้
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าผู้นำชุมชนพร้อมชาวบ้านช่วยกันจับตัวนาย ประไพ ไม่ทราบนามสกุล เป็น อาสาสมัครช่วยงานตำรวจ พร้อมอาวุธปืน ขนาด .38 มม. ใกล้กันพบผู้บาดเจ็บ 2 ราย รายแรกคือ นาย สมพร สีหานนท์ เป็น อาสาสมัครช่วยงานตำรวจถูกยิงเข้าที่กลางหลัง ยังมีสติพูดคุยได้ เจ้าหน้าที่พาส่งขอนแก่น
ส่วนผู้บาดเจ็บอีกคนคือ นายชูจิตร สีภูมิไตร อายุ 55 ปี เป็นอาสาสมัครช่วยงานตำรวจเช่นกัน ถูกยิงเข้าที่ใต้ชายโครงด้านซ้าย กระสุนฝังในหมดสติในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ทำ CPR พร้อมนำส่งโรงพยาบาลภูเวียง แต่ทนผู้บาดเจ็บพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตที่โรงพยาบาล จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวไปสอบปากคำที่โรงพัก
เบื้องต้นจากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า ในวันนี้มีงานแต่งงานในหมู่บ้าน อาสาสมัครทั้ง 3 คน ได้มาดูแลงานและร่วมงานด้วย ซึ่งก็มี อาสาสมัครอีกหลายรายที่มาช่วยงานแต่งและร่วมงานเช่นเดียวกัน ซึ่งก็มีการดื่มสุรารับประทานอาหารในงาน และช่วงเกิดเหตุเป็นช่วงของงานเลี้ยงตอนเย็น ทุกคนกำลังสนุกสนานร้องเพลงกัน ก่อนที่นายสมพร ผู้บาดเจ็บจะเดินออกมาปัสสาวะนอกงาน
ระหว่างนั้น นายประไพ (ผู้ก่อเหตุ)เดินตามมาชักปืนขนาด .38 มม. ยิงเข้าที่กลางหลังของนายสมพร จนล้มลง นายชูจิตร(ผู้เสียชีวิต) ซึ่งเป็นเพื่อนอาสาสมัครด้วยกัน ได้เดินเข้ามาห้าม แต่ถูกนายประไพยิง กระสุนเข้าที่ใต้ชายโครงฝั่งซ้าย จนนายชูจิตรล้มลงกับพื้นและแน่นิ่งไป
ซึ่งในจังหวะนั้นชาวบ้านและผู้นำชุมชนต่างช่วยกันเข้าควบคุมตัวนายประไพเอาไว้ได้โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเพิ่ม ก่อนที่จะเรียกตำรวจมาควบคุมตัวนายประไพไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนมูลเหตุที่นายประไพลงมือยิงเพื่อนอาสาสมัครด้วยกันนั้น คาดว่าจะมาจากที่ทั้งคู่มีเรื่องบาดหมางกันอยู่ ประกอบกับมีการดื่มสุราเข้าไปจนกระทั่งเกิดความหึกเหิม และก่อเหตุขึ้นดังกล่าว
คืบหน้าล่าสุด นายสมพร สีหานนท์ อายุ 53 ปี อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังอยู่อยู่ในความดูแลของแพทย์
นายนฤชล วงษ์คง อายุ 48 ปี ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ และเป็นคนเข้าไปแย่งปืนจากผู้ก่อเหตุได้ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ผู้เสียชีวิตกับผู้บาดเจ็บ ทั้งคู่เดินออกมาปัสสาวะพร้อมกัน แต่แยกที่กันปัสสาวะ จังหวะนั้น นายอุทัย ผู้ก่อเหตุก็เดินตามไปแล้วใช้ปืนยิงเข้าที่กลางหลังนายสมพร จนได้รับบาดเจ็บ
ส่วนนายชูจิตรวิ่งเข้าไปช่วยเพื่อนถูกนายอุทัยยิงเข้าที่ชายโครงซ้าย ก่อนที่ตนเองได้เข้าไปกำปืนลูกโม่ของผู้ก่อเหตุเอาไว้ไม่ให้ลั่นไก และพยายามทุบที่ข้อมือจนปืนหลุดออกจากมือ ก่อนที่ชาวบ้านจะช่วยกันมัดตัวผู้ก่อเหตุเอาไว้แล้วแจ้งตำรวจมาควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายนฤชล บอกอีกว่า สาเหตุลึก ๆ นั้นไม่ทราบว่าทั้งคู่มีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน แต่เท่าที่ตนเคยเห็น ทั้งคู่เคยทะเลาะกัน จนกระทั่งเหตุการณ์ล่าสุด วึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว โดยตนเองอยากจะฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ในเรื่องของอาวุธปืน อส.ตร.สามารถพกพาอาวุธปืนไปในที่ต่างๆจนนำไปสู่การก่อเหตุ ก็อยากจะฝากในเรื่องนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่บ้านของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ที่บ้านเลขที่ 107 ม.8 และได้พบกับ นาง ปราณี สีภูมิไตร อายุ 50 ปี พร้อมญาติๆและผู้นำชุมชนช่วยกันจัดเตรียมงานศพรอรับแขก และจะเคลื่อนย้ายศพไปประกอบพิธีฌาปนกิจในช่วงบ่ายวันนี้ทันที เนื่องจากไม่อยากให้ตั้งศพข้ามปี ส่วนตัวไม่ทราบสาเหตุเป็นเรื่องอะไร เพราะสามีตนเองก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับใคร ขออโหสิกรรมให้ ไม่ต้องมีอะไรติดค้างยุ่งเกี่ยวกัน และในส่วนของทางคดีก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
ด้าน พ.ต.อ.ไพโรจน์ ไตรธรรม ผกก.สภ.ภูเวียง กล่าวว่า ทั้ง 3 คนนั้น เป็นแค่อดีตอาสาสมัครช่วยงานตำรวสภ.ภูเวียง ซึ่งไม่ได้มีการต่ออายุบัตรมาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว เนื่องจากผู้ก่อเหตุคือนายอุทัย ประพฤติตนไม่เหมาะสมในพื้นที่ ทางสภ.ภูเวียงจึงไม่ได้มีการต่ออายุบัตรให้กับใครอีก เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือยิงทั้งคู่จริง ซึ่งในรายละเอียดอื่น ๆ นั้นอยู่ในสำนวนการสอบสวนไม่สามารถเปิดเผยได้
โดยภายหลังสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพและไม่ขอไปทำแผนเนื่องจากกลัวจะไม่ปลอดภัย ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ก่อนจะควบคุมตัวนายอุทัย ส่งฟ้องศาล จ.ชุมแพ ดำเนินคดีในข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่าผู้อื่น และความผิดเกี่ยวกับ พรบ.อาวุธปืน พร้อมคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนเนื่องจากมีอัตราโทษสูงตามขั้นตอนต่อไป